ข้อเขียนความรู้ชั้นเนติบัณฑิต ภาคหนึ่ง ปี 2549

ข้อ 1. 

นายเดชและนายสมต่างเป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดอยู่ติดกัน โดยที่ดินของนายเดชอยู่ทางทิศตะวันตกของที่ดินของ นายสม ด้านทิศเหนือของที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวติดถนนสาธารณะ นายชิตมีที่ดินมีโฉนดติดกับทางทิศใต้ของที่ดินของนายสม และติดกับทิศตะวันออกของที่ดินของนายเดช เมื่อปี 2537 นายชิตอนุญาตให้นายจักรบุตรชายปลูกบ้านในที่ดินของนายชิต นายจักรจึงได้ใช้ที่ดินของนายเดชส่วนที่อยู่ติดกับที่ดินของนายชิตและนายสมทางทิศตะวันตกกว้าง 3 เมตร ทำเป็นทางเข้าออก สู่ถนนสาธารณะตลอดมาโดยไม่ได้ขออนุญาตผู้ใดและไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้านการใช้ทางดังกล่าว ในปีเดียวกันนั้นนายสมได้เปิด ร้านค้าขายสินค้าจำพวกเครื่องเฟอร์นิเจอร์ ทุกเช้านายสมได้ให้ลูกจ้างนำสินค้าวางล้ำเข้าไปในที่ดินของนายเดชประมาณ 1 เมตร ในส่วนที่นายจักรทำเป็นทางดังกล่าว และเก็บสินค้าเข้าร้านตอนเย็น โดยนายสมไม่ได้ขออนุญาตผู้ใดและไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน เช่นเดียวกัน ต่อมาปี 2549 นายเดชปิดทางไม่ยอมให้นายจักรใช้ผ่านเข้าออกและห้ามนายสมไม่ให้นำสินค้ามาวางบนที่ดินของ นายเดชอีกต่อไป นายจักรและนายสมจึงฟ้องนายเดชต่อศาลว่าทั้งสองคนได้ภาระจำยอมในที่ดินของนายเดชโดยอายุความแล้ว 

ให้วินิจฉัยว่า นายจักรและนายสมจะอ้างว่าได้ภาระจำยอมโดยอายุความในที่ดินของนายเดชได้หรือไม่ 

ธงคำตอบ 

กรณีของนายจักร แม้จะได้ความว่าเป็นเจ้าของบ้านและได้ใช้ทางพิพาทมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยเป็นเวลากว่า 10 ปี แล้วก็ตาม แต่นายจักรไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินที่ใช้ปลูกบ้าน เป็นเพียงผู้อาศัยสิทธิของนายชิตที่อนุญาตให้ปลูกบ้านในที่ดิน ของนายชิตเท่านั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1387 บัญญัติว่า อสังหาริมทรัพย์จะตกอยู่ในภาระจำยอมก็ต้อง เพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น ดังนั้น การใช้ทางพิพาทในที่ดินของนายเดชจะตกเป็นทางภาระจำยอมก็ต้องเพื่อประโยชน์ แก่ที่ดินของนายชิตเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อประโยชน์แก่ตัวบ้านซึ่งนายจักรอาศัยสิทธิปลูกอยู่บนที่ดินของนายชิต นายจักรจึงไม่ได้ ภาระจำยอมในที่ดินของนายเดชโดยอายุความตามมาตรา 1401 (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 4238/2536 และ 269/2539) 

ส่วนกรณีของนายสมนั้น ภาระจำยอมตามมาตรา 1387 เป็นทรัพยสิทธิที่กฎหมายก่อตั้งขึ้นเพื่อประโยชน์แก่ อสังหาริมทรัพย์อื่นที่เรียกว่าสามยทรัพย์ แม้จะได้ความว่านายสมเป็นเจ้าของที่ดินและได้ใช้ที่ดินของนายเดชเป็นที่วางสินค้า มาเป็นเวลากว่า 10 ปี โดยความสงบและโดยเปิดเผยก็ตาม แต่การใช้ที่ดินของนายเดชเป็นที่วางสินค้าดังกล่าวนั้น เป็นการใช้ ที่ดินของนายเดชเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของนายสมเองโดยเฉพาะ มิได้เกี่ยวกับประโยชน์ของที่ดินอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่นายสม เป็นเจ้าของตามความหมายของมาตรา 1387 นายสมจึงไม่ได้ภาระจำยอมในที่ดินของนายเดชโดยอายุความตามมาตรา 1401 เช่นเดียวกัน (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 8727/2544) 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4238/2536
อสังหาริมทรัพย์จะตกอยู่ในภารจำยอมก็ต้องเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น กรณีทางพิพาทในที่ดินของบุคคลหนึ่งจะตกเป็นทางภารจำยอมโดยอายุความก็ต้องเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของบุคคลอื่นเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อประโยชน์แก่ตัวบ้านซึ่งเจ้าของบ้านอาศัยสิทธิปลูกอยู่บนที่ดินของบุคคลอื่นดังกล่าว ดังนั้น ผู้เป็นเจ้าของบ้านแต่มิได้เป็นเจ้าของที่ดินจึงไม่อาจอ้างการได้สิทธิทางภารจำยอมโดยอายุตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1401 เพราะเป็นการใช้ทางภารจำยอมโดยอาศัยสิทธิของผู้เป็นเจ้าของที่ดินที่ตนปลูกบ้านอยู่เท่านั้น 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 269/2539
การใช้ทางในที่ดินของบุคคลหนึ่งจะตกเป็นทางภารจำยอมโดยอายุความก็ต้องเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของบุคคลอื่นเท่านั้นไม่ใช่เพื่อประโยชน์แก่ตัวบ้านซึ่งเจ้าของบ้านอาศัยสิทธิปลูกอยู่บนที่ดินของบุคคลอื่นดังกล่าวโจทก์ ที่ 2 ผู้เป็นเจ้าของบ้านที่ปลูกอยู่บนที่ดินของโจทก์ที่1ซึ่งเป็นเจ้าของทางภารจำยอมจึงไม่อาจอ้างการได้สิทธิทางภารจำยอมโดยอายุความได้เพราะเป็นการใช้ทางภารจำยอมโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ ที่ 1 และเป็นปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องซึ่งศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8727/2544
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้นำโครงเหล็กที่จำเลยวางขายสินค้าออกไปจากทางพิพาทโดยอ้างว่าทางพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยให้การยอมรับว่าทางพิพาทเป็นที่ดินของโจทก์ ไม่ได้ยืนยันว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะ เพียงแต่ให้การว่าทางพิพาทเป็นเสมือนทางสาธารณะ การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า ทางพิพาทเป็นทางสาธารณะหรือไม่ จึงเป็นการไม่ชอบ แม้ศาลล่างทั้งสองจะวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวก็ถือว่าเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ฎีกาจำเลยในข้อนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง 
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยนำโครงเหล็กของจำเลยออกไปจากทางพิพาทเท่านั้นมิได้ห้ามจำเลยใช้ทางพิพาทเป็นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะ จึงถือว่าจำเลยมิได้ถูกโต้แย้งสิทธิเรื่องการใช้ทางพิพาทเป็นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะ ฟ้องแย้งของจำเลยที่ให้โจทก์จดทะเบียนภารจำยอมพื้นที่พิพาทให้เป็นที่วางสินค้าของจำเลย จึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม จำเลยไม่มีอำนาจฟ้องแย้งในส่วนนี้ ภารจำยอมเป็นทรัพยสิทธิที่กฎหมายก่อตั้งขึ้นเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่นอันเรียกว่าสามยทรัพย์ แม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นเจ้าของอาคารตึกแถวซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินที่อยู่ติดทางพิพาท แต่การที่จำเลยใช้ทางพิพาทวางสินค้าเพื่อจำหน่ายในกิจการค้าของจำเลยเป็นการใช้ทางพิพาทเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยโดยเฉพาะมิได้เกี่ยวกับประโยชน์ของอสังหาริมทรัพย์ที่จำเลยเป็นเจ้าของ ดังนั้น ภารจำยอมจึงไม่อาจเกิดมีขึ้นได้ จำเลยไม่ได้ภารจำยอมในทางพิพาท 

ข้อ 2. 

นายเอกซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งขอกู้เงินจากนายโทจำนวน 500,000 บาท นายโทยังไม่มีเงินในขณะนั้น จึงให้นายเอกจดทะเบียนขายที่ดินดังกล่าวให้นายโทเพื่อนายโทจะได้นำโฉนดที่ดินนั้นไปแสดงกับเพื่อนและยืมเงินจากเพื่อนมาให้ นายเอกกู้ต่อไป นายเอกจดทะเบียนโอนขายที่ดินดังกล่าวให้นายโทโดยนายโทมิได้ชำระราคาที่ดินให้นายเอกในวันนั้น เพียงแต่ นัดให้นายเอกไปรับเงินที่ขอกู้ที่บ้านนายโท หลังจากนั้นอีก 3 วัน เมื่อถึงวันนัดนายโทให้นายเอกทำหนังสือสัญญาขายฝากที่ดิน ตามโฉนดที่ดินนั้นให้นายโทยึดถือไว้อีกฉบับหนึ่ง โดยมีข้อตกลงให้ไถ่ที่ดินคืนภายใน 3 ปี และกำหนดให้นายเอกชำระดอกเบี้ย ให้นายโทเดือนละ 10,000 บาท แล้วนายโทมอบเงินที่ยืมจากเพื่อนให้นายเอกรับไปจำนวน 490,000 บาท โดยหักไว้เป็น ดอกเบี้ย 10,000 บาท หลังจากนั้นนายเอกชำระดอกเบี้ยให้นายโททุกเดือน ๆ ละ 10,000 บาท เมื่อทำสัญญาขายฝากได้ 2 ปี นายเอกนำเงิน 500,000 บาท ไปขอไถ่ที่ดินคืนจากนายโท แต่นายโทไม่ยอมให้นายเอกไถ่ที่ดินคืนอ้างว่านายเอกได้ขายที่ดินนั้นให้ นายโทโดยเด็ดขาดแล้วมิได้ขายฝากที่ดินนั้น นายเอกต้องการฟ้องบังคับให้นายโทคืนที่ดินดังกล่าวให้นายเอก 

ให้วินิจฉัยว่า นายเอกจะฟ้องบังคับให้นายโทคืนที่ดินให้นายเอกได้หรือไม่ 

ธงคำตอบ 

การที่นายเอกจดทะเบียนโอนขายที่ดินมีโฉนดให้แก่นายโทโดยนายโทมิได้ชำระราคาที่ดินที่ซื้อให้แก่นายเอก แต่อย่างใด เพียงแต่นัดให้นายเอกไปรับเงินที่บ้านนายโทหลังจากนั้นอีก 3 วัน และในวันนัดนั้นนายโทให้นายเอกทำสัญญา ขายฝากที่ดินนั้นให้อีกฉบับหนึ่ง โดยทำหนังสือสัญญากันเองมีข้อตกลงให้นายเอกไถ่ที่ดินคืนภายใน 3 ปี และให้นายเอกชำระ ดอกเบี้ยให้นายโทเดือนละ 10,000 บาท แล้วนายโทจ่ายเงินที่นายเอกขอกู้ให้นายเอกเป็นจำนวน 490,000 บาท โดยหักเงิน 10,000 บาท ไว้เป็นดอกเบี้ยนั้น แสดงให้เห็นว่านายเอกและนายโทมิได้ตั้งใจจะผูกพันกันตามสัญญาซื้อขาย ถือได้ว่านายเอก และนายโททำสัญญาซื้อขายเพื่ออำพรางสัญญาขายฝาก สัญญาซื้อขายจึงเป็นการแสดงเจตนาลวงด้วยสมรู้กันระหว่างคู่กรณี ที่จะไม่ผูกพันกันตามเจตนาที่แสดงออกมา ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 155 วรรคหนึ่ง ส่วนสัญญาขายฝากที่ถูกอำพรางไว้โดยสัญญาซื้อขายนั้นต้องบังคับตามบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยนิติกรรมที่ถูกอำพราง ไว้ตามมาตรา 155 วรรคสอง เมื่อนายเอกและนายโทมีเจตนาทำสัญญาขายฝากที่ดินกัน แต่การขายฝากไม่ได้จดทะเบียน ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฎหมาย สัญญาขายฝากที่ดินจึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 152 บังคับตามสัญญาขายฝากนั้น ไม่ได้เช่นเดียวกัน คู่กรณีทั้งสองฝ่ายจึงไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ ต่อกันมาตั้งแต่แรก กรณีต้องบังคับตามบทบัญญัติว่าด้วย ลาภมิควรได้ตามมาตรา 172 วรรคสอง และมาตรา 406 วรรคหนึ่ง ที่ดินที่นายโทได้รับมาเป็นลาภมิควรได้แก่นายโท นายเอกจึงฟ้องบังคับให้นายโทคืนที่ดินนั้นให้นายเอกได้ (คำพิพากษาฎีกาที่ 165/2527) 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 165/2527
โจทก์ต้องการกู้เงินจำเลย จำเลยไม่มีเงิน จึงตกลงจดทะเบียนซื้อขายที่พิพาทมี น.ส.3ก. เพื่อจำเลยจะได้นำ น.ส.3ก. ไปยืมเงินเพื่อนมาให้โจทก์กู้ หลังจากนั้นอีก 4 วันโจทก์มารับเงินจากจำเลย แล้วโจทก์จำเลยทำสัญญาขายฝากที่พิพาทกันเอง ดังนี้ ถือได้ว่าการทำสัญญาซื้อขายที่พิพาทเพื่ออำพรางสัญญาขายฝาก สัญญาซื้อขายจึงเป็นการแสดงเจตนาลวงด้วยสมรู้กันระหว่างคู่กรณีที่จะไม่ผูกพันกันตามเจตนาที่แสดงออกมานั้น ย่อมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 118 วรรคแรก ส่วนนิติกรรมขายฝากที่ถูกอำพรางไว้ เมื่อไม่ได้จดทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมายจึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 115 กรณีต้องบังคับตามบทบัญญัติว่าด้วยลาภมิควรได้โจทก์ต้องคืนเงินให้จำเลย และจำเลยต้องคืนที่ดินให้โจทก์ 

ข้อ 3. 

นางสาวมุกดายืมเครื่องเพชรจากนางมณีฉายเพื่อนสนิทเพื่อใส่ไปร่วมงานแสดงเครื่องเพชร นางมณีฉายมอบ เครื่องเพชรชุดใหญ่ที่ประกอบด้วยสร้อยคอ สร้อยข้อมือและต่างหูให้แก่นางสาวมุกดา โดยนางสาวมุกดาสัญญาว่าจะคืนให้ หลังวันงาน แต่นางสาวมุกดาไม่คืนเครื่องเพชรหลังงานแสดงเครื่องเพชรผ่านพ้นไปแล้วหลายวัน เมื่อนางมณีฉายทวงคืน นางสาวมุกดาบอกนางมณีฉายว่ายังไม่คืนเพราะได้นำเครื่องเพชรทั้งหมดไปจ้างทำความสะอาดที่ร้านไดมอนด์ ต่อมาลูกจ้าง ของร้านไดมอนด์แอบขโมยสร้อยข้อมือเพชรดังกล่าวไป เมื่อนางสาวมุกดาขอรับเครื่องเพชรจึงทราบสาเหตุ และทางร้านติดตาม หาตัวลูกจ้างไม่ได้ เจ้าของร้านไดมอนด์จึงยอมรับผิดต่อนางสาวมุกดาโดยยอมมอบสร้อยข้อมือทับทิมล้อมเพชรที่มีราคามากกว่า สร้อยข้อมือเพชรที่ถูกขโมยไป ต่อมานางสาวมุกดานำเครื่องเพชรที่เหลือไปคืนให้แก่นางมณีฉายพร้อมแจ้งเรื่องที่ลูกจ้าง ของร้านไดมอนด์ขโมยสร้อยข้อมือเพชรไป นอกจากนี้ยังนำสร้อยข้อมือทับทิมล้อมเพชรที่ได้รับจากร้านไดมอนด์มาอวด นางมณีฉายอีกด้วย 

ให้วินิจฉัยว่า นางมณีฉายจะมีสิทธิเรียกร้องต่อนางสาวมุกดาและต่อเจ้าของร้านไดมอนด์หรือไม่ เพียงใด 

ธงคำตอบ 

นางมณีฉายมีสิทธิเรียกร้องให้นางสาวมุกดารับผิดได้ โดยเป็นกรณีที่ลูกหนี้ต้องรับผิดในการที่การชำระหนี้ กลายเป็นพ้นวิสัยที่เกิดขึ้นในระหว่างลูกหนี้ผิดนัด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 204 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 217 นางมณีฉายในฐานะเจ้าหนี้มีสิทธิเรียกให้นางสาวมุกดาลูกหนี้ชำระค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหาย ดังกล่าว หรืออาจเลือกใช้สิทธิช่วงทรัพย์ตามมาตรา 228 โดยเรียกให้นางสาวมุกดาส่งมอบสร้อยข้อมือทับทิมล้อมเพชร แทนสร้อยข้อมือเพชรที่พ้นวิสัยไปก็ได้ ส่วนกรณีเจ้าของร้านไดมอนด์ซึ่งต้องร่วมรับผิดในการกระทำละเมิดของลูกจ้างนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า เจ้าของร้านไดมอนด์ได้รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนด้วยสร้อยข้อมือทับทิมล้อมเพชรให้แก่นางสาวมุกดาซึ่งเป็นผู้ครองทรัพย์ ในขณะที่มีการละเมิดเกิดขึ้นโดยสุจริตแล้ว เจ้าของร้านไดมอนด์ย่อมได้รับความคุ้มครองตาม มาตรา 441 ให้หลุดพ้น จากหนี้ในมูลละเมิดเพราะการที่ได้ใช้ให้เช่นนั้น ดังนั้น นางมณีฉายจึงไม่มีสิทธิเรียกให้เจ้าของร้านไดมอนด์รับผิด 

ข้อ 4. 

นายโตให้นายเต้ยเช่าตึกแถวเพื่ออยู่อาศัยโดยทำสัญญาเป็นหนังสือมีกำหนดหกปี อัตราค่าเช่าเดือนละ 5,000 บาท ชำระค่าเช่าทุกสามเดือนต่อครั้ง นายเต้ยอยู่อาศัยได้หนึ่งปี เห็นว่าตึกแถวอยู่ในทำเลการค้า จึงตกแต่งตึกแถวดำเนินกิจการเป็น ร้านอาหาร เมื่อนายโตทราบเรื่องได้มีหนังสือถึงนายเต้ยให้หยุดประกอบกิจการค้าและขอบอกเลิกสัญญาเช่าทันที นายเต้ยได้รับ หนังสือก็หยุดกิจการร้านอาหารทั้งหมดและตกแต่งตึกแถวให้กลับคืนสภาพเดิม ต่อมาเมื่อสัญญาเช่าครบหนึ่งปีหกเดือน นายโต มีหนังสือถึงนายเต้ยอีกฉบับหนึ่งว่าไม่ประสงค์ให้นายเต้ยเช่าตึกแถวต่อไป ขอบอกเลิกสัญญาเช่า ให้นายเต้ยขนย้ายออกไปภายใน กำหนดสองเดือน นายเต้ยได้รับหนังสือฉบับหลังแล้วแต่ไม่ยอมออกไปตามกำหนดดังกล่าว นายโตประสงค์จะฟ้องขับไล่นายเต้ย โดยเห็นว่าสัญญาเช่าตึกแถวระงับไปแล้ว เนื่องจากนายเต้ยผิดสัญญาใช้ทรัพย์ที่เช่าเพื่อการอย่างอื่นนอกจากที่กำหนดไว้ในสัญญา ซึ่งนายโตบอกเลิกสัญญาแล้วประการหนึ่ง กับนายโตได้บอกเลิกสัญญาเช่าให้นายเต้ยรู้ตัวก่อนชั่วกำหนดเวลาชำระค่าเช่าระยะหนึ่ง เป็นอย่างน้อยแล้วอีกประการหนึ่ง 

ให้วินิจฉัยว่านายโตมีสิทธิฟ้องขับไล่นายเต้ยตามข้ออ้างสองประการดังกล่าวหรือไม่ 

ธงคำตอบ 

การที่นายเต้ยทำหนังสือสัญญาเช่าตึกแถวของนายโตเพื่ออยู่อาศัย แต่ต่อมาได้ตกแต่งตึกแถวเปิดกิจการเป็น ร้านอาหาร ถือเป็นการใช้ทรัพย์สินที่เช่าเพื่อการอย่างอื่นนอกจากที่กำหนดไว้ในสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 552 นายโตผู้ให้เช่าสามารถบอกกล่าวให้นายเต้ยผู้เช่าปฏิบัติให้ถูกต้องตามสัญญาได้ หากนายเต้ยละเลยไม่ปฏิบัติตาม นายโตก็มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าเสียได้ตามมาตรา 554 แต่เมื่อนายเต้ยได้รับหนังสือบอกกล่าวจากนายโตแล้วได้แก้ไข โดยหยุดกิจการร้านอาหารทั้งหมดและตกแต่งตึกแถวให้กลับคืนสภาพเดิม สิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าของนายโตในกรณีนี้ ย่อมระงับไป แม้นายโตจะแจ้งขอบอกเลิกสัญญาเช่าในหนังสือบอกกล่าวด้วย ก็ไม่มีผลเป็นการบอกเลิกสัญญาเช่า โดยชอบด้วยกฎหมาย ส่วนที่นายโตมีหนังสืออีกฉบับหนึ่งบอกเลิกสัญญาเช่าโดยให้นายเต้ยขนย้ายออกจากตึกแถวภายในกำหนด สองเดือนนั้น เนื่องจากการเช่ารายนี้ทำหนังสือสัญญาเช่ากันเองมีกำหนดหกปี โดยไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงมีผลบังคับได้เพียงสามปีตามมาตรา 538 และถือว่าการเช่าในสามปีแรกเป็นการเช่าที่มีกำหนดเวลา นายโตจะใช้สิทธิ เลิกการเช่าก่อนครบสามปีโดยการบอกกล่าวแก่นายเต้ยให้รู้ตัวก่อนชั่วกำหนดเวลาชำระค่าเช่าระยะหนึ่งเป็นอย่างน้อย แต่ไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้ากว่าสองเดือนตามมาตรา 566 ซึ่งเป็นบทกฎหมายว่าด้วยการบอกเลิกสัญญาเช่าที่ไม่มี กำหนดเวลาหาได้ไม่ ที่นายโตบอกเลิกสัญญาเช่ารายนี้ในขณะที่นายเต้ยเช่าตึกแถวเพียงหนึ่งปีหกเดือน จึงเป็นการ บอกเลิกสัญญาเช่าที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 53/2546) ดังนั้น นายโตไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่นายเต้ยตามข้ออ้างทั้งสองประการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 53/2546
สัญญาเช่าอาคารที่โจทก์ทำกับจำเลยมีกำหนดระยะเวลาเช่า 10 ปี โดยมิได้จดทะเบียนการเช่า สัญญาดังกล่าวจึงบังคับได้เพียง 3 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 และต้องถือว่าการเช่าใน 3 ปีแรก เป็นการเช่าที่มีกำหนดระยะเวลา การที่โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าหลังจากเช่าไปแล้ว 1 ปีเศษ ถือว่าโจทก์ประสงค์บอกเลิกสัญญาที่มีกำหนดระยะเวลา เมื่อสัญญาดังกล่าวไม่มีข้อความตอนใดให้สิทธิแก่โจทก์ในอันที่จะเลิกสัญญาได้ การที่โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าก่อนกำหนดจึงไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 386 

ข้อ 5. 

นายแดงกู้ยืมเงินจากนายเฮง 200,000 บาท มีนางสาวสวยและนายดำเป็นผู้ค้ำประกันหนี้ของนายแดง โดยยอมรับผิดต่อนายเฮงอย่างลูกหนี้ร่วม และทำหลักฐานการกู้ยืมและค้ำประกันเป็นหนังสือถูกต้อง ต่อมานางสาวสวยในฐานะผู้ค้ำประกันชำระหนี้ให้แก่นายเฮง 150,000 บาท นายเฮงไม่ติดใจเรียกร้องจากนางสาวสวยอีกจึงทำหนังสือปลดหนี้ ให้แก่นางสาวสวย แล้วนายแดงตกลงทำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินให้ไว้แก่นางสาวสวยว่าเป็นหนี้เงินกู้นางสาวสวย 150,000 บาท ตามที่ชำระหนี้แทนไป 

ให้วินิจฉัยว่า 

(ก) นายแดงจะต้องรับผิดต่อนายเฮงและนางสาวสวยหรือไม่ เพียงใด 
(ข) นายดำจะต้องรับผิดต่อนายเฮงหรือไม่ เพียงใด 

ธงคำตอบ 

(ก) การที่ผู้ค้ำประกันผูกพันตนต่อเจ้าหนี้ยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม มีผลเป็นการสละสิทธิบางประการที่ผู้ค้ำประกัน อาจยกเป็นข้อต่อสู้เจ้าหนี้ตามบทบัญญัติว่าด้วยลักษณะค้ำประกันเท่านั้น หน้าที่ความรับผิดของลูกหนี้ชั้นต้นที่มีต่อเจ้าหนี้ก็ดี ต่อผู้ค้ำประกันในฐานะพิเศษดังกล่าวก็ดี ยังคงมีอยู่ตามเดิม (คำพิพากษาฎีกาที่ 893/2540) หนี้ที่เหลือนั้นลูกหนี้ชั้นต้น ยังคงต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 685 เงินกู้จำนวน 50,000 บาท ที่นางสาวสวยยังมิได้ชำระ แม้นายเฮงจะไม่ติดใจเรียกร้องจากนางสาวสวยด้วยการปลดหนี้ ก็ยังคงเป็นหนี้ส่วนที่มิได้มีการชำระ นายแดงในฐานะ ลูกหนี้ชั้นต้นยังคงต้องรับผิดชำระเงินกู้จำนวน 50,000 บาท ให้แก่นายเฮง เมื่อนางสาวสวยชำระหนี้แทนนายแดงจำนวน 150,000 บาท ย่อมรับช่วงสิทธิของนายเฮงเจ้าหนี้ไล่เบี้ยเอาแก่ นายแดงเพื่อชำระหนี้ดังกล่าวได้ตามมาตรา 693 วรรคหนึ่ง แต่การที่นายแดงตกลงทำสัญญากู้เงินให้ไว้แก่นางสาวสวยว่า เป็นหนี้เงินกู้จำนวน 150,000 บาท ตามที่ได้ชำระหนี้แทนไป ถือได้ว่ามีหนี้ใหม่เกิดขึ้น เป็นการเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญ แห่งหนี้ จึงเป็นการแปลงหนี้ใหม่ มีผลทำให้สิทธิไล่เบี้ยนั้นระงับไป และถือว่าได้มีการส่งมอบเงินกู้แล้ว นางสาวสวยย่อมบังคับ ตามมูลหนี้ในสัญญากู้อันเกิดจากการแปลงหนี้ใหม่ได้ ดังนั้น นายแดงต้องรับผิดชำระเงินกู้จำนวน 150,000 บาท ให้แก่นางสาวสวย 

(ข) การค้ำประกันของนายดำเป็นการค้ำประกันหนี้รายเดียวกับนางสาวสวย ย่อมมีผลเป็นผู้ค้ำประกันร่วมกับ นางสาวสวยจึงมีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมตามมาตรา 682 วรรคสอง เมื่อนางสาวสวยได้ชำระหนี้ให้แก่นายเฮงบางส่วน และนายเฮงได้ปลดหนี้ส่วนที่เหลือให้แก่นางสาวสวย ย่อมมีผลให้หนี้สำหรับนายดำระงับด้วยตามมาตรา 340 และมาตรา 293 นายดำจึงหลุดพ้นไม่ต้องรับผิดต่อนายเฮง (คำพิพากษาฎีกาที่ 893/2540, 2551/2544)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 893/2540
การที่ผู้ค้ำประกันยอมผูกพันตนต่อเจ้าหนี้ยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมมีผลเป็นการสละสิทธิบางประการที่ผู้ค้ำประกันอาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้เจ้าหนี้ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยลักษณะค้ำประกันเท่านั้นหน้าที่ความรับผิดของลูกหนี้ชั้นต้นที่มีต่อเจ้าหนี้ก็ดีต่อผู้ค้ำประกันในฐานะพิเศษดังกล่าวก็ดียังคงมีอยู่ตามเดิมเหตุหลุดพ้นจากหนี้ที่ค้ำประกันของผู้ค้ำประกันจะเป็นผลให้จำเลยที่1ในฐานะลูกหนี้ชั้นต้นหลุดพ้นไปด้วยนั้นย่อมเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 685 คือ จะหลุดพ้นเฉพาะในส่วนที่ผู้ค้ำประกันได้ชำระหนี้ส่วนหนี้ที่ยังเหลือนั้นจำเลย ที่ 1 ในฐานะลูกหนี้ชั้นต้นยังคงต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้ดังนี้ที่บุคคลภายนอกชำระหนี้แทน ท. ผู้ค้ำประกันไปเท่าใดถือได้ว่าเป็นการชำระหนี้โดย ท. และมีผลให้จำเลยที่1หลุดพ้นเพียงเท่าจำนวนนั้นหนี้ส่วนที่ ท. ยังมิได้ชำระแม้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จะไม่ติดใจเรียกร้องจาก ท. ไม่ว่าจะในรูปปลดหนี้หรือประนีประนอมยอมความหนี้ส่วนดังกล่าวยังคงเป็นส่วนที่ยังมิได้มีการชำระจำเลย ที่ 1 ในฐานะลูกหนี้ชั้นต้นยังคงต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้ การค้ำประกันของจำเลยที่ 2 เป็นการค้ำประกันหนี้รายเดียวย่อมมีผลเป็นผู้ค้ำประกันร่วมกับ ท. จึงมีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกันกับ ท. ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 682 วรรคสอง เมื่อ ท. โดยบุคคลภายนอกได้ชำระหนี้ที่ตนค้ำประกันเต็มจำนวนตามที่โจทก์เรียกร้องแล้วทำให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้สละสิทธิต่อท. มีผลให้หนี้ระงับสำหรับท. ย่อมมีผลให้หนี้สำหรับจำเลยที่2ระงับด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 340 และมาตรา 293 จำเลย ที่ 2 จึงหลุดพ้นไม่จำต้องรับผิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2551/2544
จำเลยและ ส. ได้ทำสัญญาค้ำประกันการกู้เงินของบริษัท ถ. จำกัด โดยยอมรับผิดต่อโจทก์อย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยและ ส. ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินไว้เป็นประกันต่อมาจำเลยได้ขายที่ดินที่จำนองเป็นประกันหนี้ไป และ ส.ได้ชำระหนี้แก่โจทก์จำนวนหนึ่งซึ่งโจทก์ได้ออกหนังสือปลดหนี้แก่ ส. แล้ว จำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันร่วมในหนี้รายเดียวกันย่อมต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกันตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 682 วรรคสองเมื่อบทบัญญัติในลักษณะค้ำประกันมิได้กำหนดความรับผิดชอบผู้ค้ำประกันต่อกันไว้ จึงต้องใช้หลักทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 229 และ296 การที่โจทก์สละสิทธิต่อ ส. ย่อมมีผลทำให้หนี้ส่วนที่เหลือสำหรับ ส. ระงับไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 340 และย่อมมีผลให้หนี้สำหรับจำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันร่วมระงับไปด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 293 

ข้อ 6. 

นายจันทร์ออกเช็คผู้ถือลงวันที่ล่วงหน้าเตรียมไว้สำหรับชำระหนี้ค่าสินค้าแล้วทำเช็คหายไป นายอังคารเก็บเช็คได้นำ ไปแลกเงินสดจากนายพุธ นายพุธไม่รู้ว่านายอังคารเก็บเช็คได้จึงรับแลกเช็คไว้โดยให้นายอังคารลงลายมือชื่อสลักหลังเช็คไว้ด้วย ต่อมานายจันทร์ทราบว่าเช็คอยู่ที่นายพุธจึงไปขอเช็คคืน โดยแจ้งให้ทราบว่าเช็คดังกล่าวไม่มีมูลหนี้เพราะตนทำหายไป นายพุธ ไม่ยอมคืนเช็คให้แต่กลับนำเช็คไปเรียกเก็บเงิน ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน นายพุธได้ยื่นฟ้องนายจันทร์กับนายอังคารให้ร่วมกัน รับผิดใช้เงินตามเช็ค ทั้งสองคนต่อสู้ว่า นายพุธรู้แล้วว่าเช็คไม่มีมูลหนี้แต่ยังรับแลกเช็คไว้เป็นการคบคิดกันฉ้อฉล นายพุธไม่ใช่ ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง 

ให้วินิจฉัยว่า ข้อต่อสู้ของนายจันทร์และนายอังคารฟังขึ้นหรือไม่ 

ธงคำตอบ 

การโอนเช็คด้วยการคบคิดกันฉ้อฉลที่จะเป็นเหตุให้ผู้สั่งจ่ายยกความเกี่ยวพันระหว่างตนกับผู้ทรงคนก่อนขึ้นต่อสู้ผู้ทรง ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 916 นั้น จะต้องเป็นการคบคิดกันฉ้อฉลที่เกิดขึ้นขณะที่ผู้ทรงรับโอนเช็คเท่านั้น (คำพิพากษาฎีกาที่ 467/2532, 4279/2536) เมื่อขณะรับโอนเช็คมาจากนายอังคาร นายพุธไม่รู้ว่านายอังคารเก็บเช็คได้ นายพุธรับโอนเช็คมาโดยสุจริต จึงเป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 904 และมาตรา 905 วรรคสาม (คำพิพากษาฎีกาที่ 6005/2539, 480/2514) 

แม้ก่อนที่เช็คถึงกำหนดนายพุธจะรู้ว่าเช็คที่นายจันทร์สั่งจ่ายไม่มีมูลหนี้เพราะนายจันทร์ทำเช็คหายไปและนายอังคาร เก็บเช็คได้ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่นายพุธรับโอนเช็คมาจากนายอังคารแล้ว จึงมิใช่กรณีที่นายพุธคบคิดกับนายอังคาร ฉ้อฉลนายจันทร์ หรือมีความไม่สุจริตในขณะที่รับโอนเช็ค นายจันทร์ในฐานะผู้สั่งจ่ายจึงต้องรับผิดตามเช็คต่อนายพุธ ส่วนนายอังคารลงลายมือชื่อสลักหลังเช็คดังกล่าวซึ่งเป็นเช็คผู้ถือ จึงเป็นประกัน (อาวัล) นายจันทร์ผู้สั่งจ่ายตามมาตรา 921 ประกอบมาตรา 989 และมีผลผูกพันเป็นอย่างเดียวกันกับนายจันทร์ผู้สั่งจ่ายตามมาตรา 940 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 989 ข้อต่อสู้ของนายจันทร์และนายอังคารฟังไม่ขึ้น 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 467/2532
การคบคิดกันฉ้อฉลหรือความไม่สุจริตอันจะทำให้ผู้สั่งจ่ายยกความเกี่ยวพันระหว่างตนกับผู้ทรงคนก่อนขึ้นต่อสู้ผู้ทรงได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 916 นั้น จะต้องเกิดขึ้นขณะที่ผู้ทรงรับโอนเช็ค 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4279/2536
การโอนเช็คด้วยการคบคิดกันฉ้อฉลที่จะเป็นเหตุให้ผู้สั่งจ่ายยกความเกี่ยวพันระหว่างตนกับผู้ทรงคนก่อนขึ้นต่อสู้ผู้ทรงได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 916 นั้น จะต้องเป็นการคบคิดกันฉ้อฉลที่เกิดขึ้นขณะที่ผู้ทรงรับโอนเช็คเท่านั้น มิใช่เป็นการคบคิดกันฉ้อฉลภายหลังจากที่มีการฟ้องร้องเรียกเงินตามเช็คกันแล้ว ดังนั้น แม้จำเลยที่ 2 จะให้การต่อสู้คดีแล้วกลับมาสละข้อต่อสู้ภายหลัง หรือเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วโจทก์บังคับคดีเอาแก่จำเลยที่ 1 เพียงคนเดียวก็จะถือว่าโจทก์กับจำเลยที่ 2 สมคบกันฉ้อฉลจำเลยที่ 1 ไม่ได้ 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6005/2539
จำเลยให้การเพียงว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้ จ. ต่อมา จ. ทำเช็คพิพาทหายไปจึงไปแจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจและจำเลยได้แจ้งอายัดเช็คต่อธนาคารไว้ต่อมา จ. ทราบว่าเช็คพิพาทถูกลักไปและอยู่ที่โจทก์ จ. แจ้งให้โจทก์ทราบโจทก์รับว่าจะคืนเช็คให้แต่กลับนำเช็คมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ซึ่งโจทก์ทราบดีอยู่แล้วว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมายเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ดังนี้ คำให้การของจำเลยดังกล่าวไม่ได้ระบุโดยชัดแจ้งว่าขณะที่โจทก์ได้รับโอนเช็คพิพาทมานั้นโจทก์รู้ว่าเป็นเช็คที่ถูกลักมาหรือโจทก์ได้มาโดยทุจริตหรือด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงอย่างไรเป็นคำให้การที่มิได้ปฏิเสธโดยชัดแจ้งไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสอง ไม่ก่อให้เกิดประเด็นที่จะวินิจฉัยว่าโจทก์ได้รับโอนเช็คพิพาทมาโดยทุจริตหรือด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงที่จะต้องสละเช็คพิพาทนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 905 วรรคสอง และวรรคสาม จึงไม่มีเหตุที่จะให้รับฟังได้ว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยไม่สุจริตหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 480/2514
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คและโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คดังกล่าวโดย จ. ได้สลักหลังแล้วมอบให้โจทก์ โจทก์นำเช็คนี้เข้าบัญชี แต่ธนาคารคืนเช็คมายังโจทก์ เพราะจำเลยได้สั่งอายัดไว้ โจทก์จึงฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินตามเช็ค จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทจริงโดยเตรียมไว้สำหรับชำระหนี้ให้แก่ผู้อื่น แต่ จ. ได้ลักเช็คดังกล่าวไปเสียก่อน จำเลยได้ร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานแล้ว โจทก์จึงไม่ใช่ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย และไม่มีนิติสัมพันธ์อันใดกับจำเลยจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องประการใดจากจำเลย ดังนี้ เมื่อจำเลยมิได้กล่าวอ้างต่อสู้ว่า โจทก์รับโอนเช็คพิพาทนั้นมาโดยคบคิดกับ จ. เพื่อฉ้อฉลจำเลยก็ต้องถือว่าโจทก์ได้รับเช็คมาโดยสุจริต การที่ จ. แต่ฝ่ายเดียวเป็นผู้ทุจริตจึงไม่เป็นข้อต่อสู้ที่จำเลยจะยกขึ้นใช้ยันกับโจทก์ผู้ทรงได้ตาม มาตรา 905 และมาตรา 916 ฉะนั้น จำเลยจึงหามีสิทธิที่จะนำพยานเข้าสืบตามข้อต่อสู้ของจำเลยดังที่ปรากฏในคำให้การไม่ เช็คพิพาทเป็นเช็คที่ออกให้แก่ผู้ถือโจทก์เป็นผู้ถือจึงนับได้ว่าเป็นผู้ทรง เมื่อโจทก์นำไปขึ้นเงินจากธนาคารไม่ได้จำเลยก็ย่อมมีหน้าที่ต้องใช้เงินตามเช็คนั้นให้แก่โจทก์ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 1/2514) 

ข้อ 7. 

นายตุนเป็นเจ้าของตึกแถว 3 ชั้นหนึ่งห้อง ต้องการลงทุนเปิดเป็นร้านขายของแต่ไม่มีเงินจึงไปชวนเพื่อนชื่อนายตันและ นายต่วนเข้าหุ้น ทั้งสองคนตกลงเอาเงินสดคนละ 100,000 บาท มาลงทุนร่วมกับนายตุน โดยทั้งสามคนตกลงจะไปจดทะเบียน เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดภายหลัง ให้นายตุนเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ระหว่างที่ยังไม่ได้จดทะเบียนก็ให้ทำการค้าร่วมกันไปก่อน นายตุน เห็นว่าร้านที่ตั้งขึ้นนั้นไม่ได้ใช้ประโยชน์ในตึกแถวชั้นที่ 3 จึงทำสัญญาเช่าให้นางสาวดรุณีผู้เช่าใช้เป็นห้องพักอาศัย ต่อมาปีเศษ ร้านค้าขายขาดทุน ทั้งนายต่วนถูกรถยนต์ชนถึงแก่ความตาย นายตันเตือนให้นายตุนรีบไปจดทะเบียนร้านตามข้อตกลง และเรียก ค่าเช่าที่นางสาวดรุณีค้างชำระอยู่จำนวน 38,000 บาท เพื่อมาใช้เป็นทุนในร้าน แต่นายตุนเพิกเฉย นายตันจึงฟ้องนางสาวดรุณี เรียกค่าเช่าตามสัญญาเช่าจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย และแจ้งนายตุนขอเลิกกิจการร้านนี้ 

ให้วินิจฉัยว่า 
(ก) นายตันจะฟ้องนางสาวดรุณีได้หรือไม่ 
(ข) นายตันมีสิทธิขอเลิกกิจการร้านนี้ได้หรือไม่ 

ธงคำตอบ 

(ก) กรณีตามปัญหา กิจการที่นายตุน นายตันและนายต่วนร่วมกันเปิดเป็นร้านขายของนั้นเป็นสัญญาจัดตั้ง ห้างหุ้นส่วนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1012 แม้จะตกลงกันให้จัดตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด แต่ถ้ายังมิได้ จดทะเบียนอยู่ตราบใด ให้ถือว่าเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญอยู่ ตามมาตรา 1079 ซึ่งจักต้องใช้บทบัญญัติในเรื่องห้างหุ้นส่วนสามัญ มาใช้บังคับ คดีที่นายตันฟ้องนางสาวดรุณีเรียกค่าเช่าตามสัญญาเช่า แม้นายตันเป็นหุ้นส่วนและมีส่วนเป็นเจ้าของในตึกแถว ชั้นที่ 3 ที่ให้เช่าด้วยก็ตาม แต่นายตันมิใช่คู่สัญญากับนางสาวดรุณีในสัญญาเช่าตึกดังกล่าว ดังนั้น นายตันย่อมไม่อาจถือสิทธิ ตามสัญญาเช่าเรียกค่าเช่าจากนางสาวดรุณีซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ ตามมาตรา 1049 นายตันจึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเช่า พร้อมดอกเบี้ยจากนางสาวดรุณี (คำพิพากษาฎีกาที่ 2578/2535) 

(ข) เมื่อนายต่วนหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนสามัญคนหนึ่งถึงแก่ความตาย ห้างหุ้นส่วนสามัญย่อมเลิกกัน ตามมาตรา 1055 (5) เว้นแต่หุ้นส่วนอื่นที่ยังอยู่รับซื้อหุ้นของผู้นั้น ตามมาตรา 1060 เมื่อไม่ปรากฏเหตุดังกล่าว นายตันจึงมีสิทธิขอเลิกกิจการได้ (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 3196/2532)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2578/2535
คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยว่าผิดสัญญาเช่าโดย ไม่ชำระค่าเช่าจึงขอให้ขับไล่จำเลย ให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างและค่าเสียหายคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าเกี่ยวกับการเช่าดังกล่าวโจทก์จำเลยตกลงกันด้วยวาจาว่าโจทก์ยอมให้จำเลยใช้น้ำประปาและไฟฟ้า แต่จำเลยต้องเป็นผู้ชำระเงินค่าน้ำประปาและค่าไฟฟ้า จำเลยไม่ชำระค่าน้ำประปาและค่าไฟฟ้าบางเดือน โจทก์ได้ชำระแทนไปแล้ว จึงขอให้บังคับจำเลยชำระเงินที่โจทก์ได้ชำระแทนไปข้อตกลงเรื่องโจทก์ยินยอมให้จำเลยใช้น้ำประปาและไฟฟ้าโดย จำเลยเป็นผู้ชำระเงิน เป็นข้อตกลงต่างหากจากสัญญาเช่า มิใช่เรื่องเดียวกันกับที่โจทก์ฟ้องคดีแรก ไม่เป็นฟ้องซ้อน หุ้นส่วนที่จะฟ้องบังคับบุคคลภายนอกในกิจการค้าของห้างหุ้นส่วนสามัญได้จะต้องเป็นผู้มีชื่อในกิจการค้านั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1049 การฟ้องคดีจึงไม่จำเป็นต้องลงชื่อบรรดาผู้ถือหุ้นทุกคน เมื่อตามสัญญาเช่ามีแต่ชื่อโจทก์ที่ 1 ไม่มีชื่อโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 จึงไม่อาจถือสิทธิใด ๆ แก่จำเลยในการเช่า และไม่มีอำนาจฟ้อง 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3196/2532
เมื่อหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดตาย ห้างหุ้นส่วนจำกัดย่อมเลิกกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1055(5) , 1080 แต่หุ้นส่วนที่ยังคงอยู่อาจตกลงให้ห้างยังคงอยู่ต่อไป โดยรับทายาทของหุ้นส่วนที่ตายเข้ามาเป็นหุ้นส่วนแทนได้ เมื่อปรากฏว่า บ. หุ้นส่วนผู้จัดการห้างโจทก์ถึงแก่ความตายในระหว่างการพิจารณาหุ้นส่วนอื่นได้รับ ช. ซึ่งเป็นทายาทผู้รับมรดกให้เข้าเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการแทน บ. ห้างโจทก์จึงคงอยู่ต่อมาและเมื่อศาลอนุญาตให้ ช. เข้าเป็นผู้แทนโจทก์แทน บ. แล้ว ห้างโจทก์จึงมีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปได้โดยชอบด้วยกฎหมาย 

ข้อ 8. 

นายกิ่งเป็นบุตรนอกกฎหมายของนายต้น ซึ่งนายต้นรับรองแล้วว่าเป็นบุตร นายกิ่งได้จดทะเบียนสมรสกับนางใบ หลังจากนายยอดสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางใบตายแล้ว 2 เดือน และนางใบคลอดบุตรชื่อเด็กชายผลหลังจาก จดทะเบียนสมรสได้ 3 เดือน ต่อมาอีก 25 ปี นายกิ่งถึงแก่ความตายนายกิ่งมีทรัพย์สินส่วนตัวคือเงินจำนวน 100,000 บาท กับเงินฌาปนกิจสงเคราะห์จำนวน 80,000 บาท ซึ่งเงินเฉพาะส่วนนี้ นายกิ่งได้ระบุในใบสมัครในการเข้าเป็นสมาชิกฌาปนกิจ สงเคราะห์ให้นางใบเป็นผู้รับเมื่อนายกิ่งตาย หากปรากฏว่าหลังจากที่นายกิ่งตายแล้ว นางใบและนายผลได้ร่วมกันทำบันทึกเป็น หนังสือมีข้อความว่านางใบจะไม่เรียกร้องทรัพย์มรดกของนายกิ่งอีกเพราะนางใบได้รับเงินฌาปนกิจสงเคราะห์แล้ว โดยนางใบ ลงลายมือชื่อในบันทึกแต่ผู้เดียว 

ให้วินิจฉัยว่า ทรัพย์มรดกของนายกิ่งมีอะไรบ้าง และจะตกทอดแก่ผู้ใด เพียงใด 

ธงคำตอบ 

สินส่วนตัวจำนวน 100,000 บาท เป็นทรัพย์มรดกของนายกิ่ง เพราะเป็นทรัพย์สินของนายกิ่งที่มีอยู่ก่อน หรือขณะถึงแก่ความตาย ส่วนเงินฌาปนกิจสงเคราะห์จำนวน 80,000 บาท เป็นสิทธิที่เกิดขึ้นเนื่องจากความตายของนายกิ่ง จึงไม่ใช่ทรัพย์มรดก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1600 

นายต้นมิใช่บิดาชอบด้วยกฎหมายของนายกิ่ง จึงไม่ใช่ทายาทโดยธรรมตามมาตรา 1629 (2) ไม่มีสิทธิรับทรัพย์มรดก (คำพิพากษาฎีกาที่ 525/2510) นางใบเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายกิ่งจึงเป็นทายาทโดยธรรมตามมาตรา 1629 วรรคสอง 

ส่วนนายผล กรณีต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามมาตรา 1537 ว่านายผลเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายกิ่ง เพราะนางใบจดทะเบียนสมรสใหม่กับนายกิ่ง อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 1453 และคลอดนายผลภายใน 310 วัน นับแต่วันที่ การสมรสครั้งก่อนสิ้นสุดลง นายผลจึงเป็นทายาทโดยธรรมตามมาตรา 1629 (1) ดังนั้น ทรัพย์มรดกของนายกิ่งจึงตกทอด แก่นางใบและนายผล แต่การที่นางใบและนายผล ทำบันทึกเป็นหนังสือร่วมกันว่านางใบจะไม่เรียกร้องทรัพย์มรดกของนายกิ่งอีก เป็นการ ตกลงระงับข้อพิพาทในทรัพย์มรดกของนายกิ่งที่จะมีขึ้นในเรื่องของการแบ่งปันทรัพย์มรดกในอนาคตให้หมดไป จึงเป็นการ สละมรดกโดยทำเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยนางใบสละมรดกทั้งหมด มิใช่สละมรดกบางส่วน เพราะนายกิ่งมี ทรัพย์มรดกคือเงินที่เป็นสินส่วนตัวเท่านั้น กรณีต้องตามมาตรา 1612 และ 1613 (คำพิพากษาฎีกาที่ 3776/2545) แม้นายผลผู้รับมรดกอีกผู้หนึ่งจะมิได้ลงลายมือชื่อในบันทึก การสละมรดกของนางใบก็มีผลบังคับ (คำพิพากษาฎีกาที่ 1419/2492) ดังนั้น ทรัพย์มรดกทั้งหมดของนายกิ่งจึงตกทอดแก่นายผลแต่ผู้เดียว 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 525/2510
แม้จำเลยจะได้แถลงรับว่า ทะเบียนการเกิด การตายทะเบียนโรงเรียนทะเบียนสำมะโนครัว เป็นเอกสารที่แท้จริง ก็ฟังได้แต่เพียงว่า โจทก์ได้แจ้งไว้ว่าเจ้ามรดกเป็นบุตรของโจทก์จำเลยมิได้แถลงรับด้วยว่า โจทก์เป็นบิดาชอบด้วยกฎหมายของเจ้ามรดกทั้งก็ยังได้ความว่า โจทก์กับ ส. มารดาของเจ้ามรดกได้อยู่กินกันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย แสดงอยู่ในตัวว่าโจทก์เป็นบิดานอกกฎหมายของเจ้ามรดก และในคำให้การของจำเลยก็ว่า ทายาทโดยชอบธรรมของเจ้ามรดกไม่มีบุคคลใดอีกนอกจากจำเลย ซึ่งแสดงว่าจำเลยมีข้อต่อสู้ว่าโจทก์มิใช่ทายาทของเจ้ามรดก หาใช่จำเลยสละข้อต่อสู้ที่ว่าโจทก์ไม่ใช่ทายาทของเจ้ามรดกนั้นเสียไม่ แม้โจทก์เป็นผู้ให้กำเนิดแก่เจ้ามรดกแต่โจทก์กับเจ้ามรดกก็ไม่มีฐานะเป็นบิดาและบุตรต่อกันตามกฎหมายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 ซึ่งบัญญัติถึงบิดากับบุตรว่า เป็นทายาทซึ่งกันและกัน หมายถึงเป็นบิดาและบุตรต่อกันตามกฎหมาย มิฉะนั้นก็ไม่เป็นทายาท และไม่มีสิทธิรับมรดกซึ่งกันและกัน บิดากับบุตรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ตามปกติไม่มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายต่อกันอย่างใดเลย และไม่มีสิทธิได้รับมรดกซึ่งกันและกันด้วย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1627 เป็นบทบัญญัติวางข้อยกเว้นให้บุตรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่บิดารับรองแล้วให้มีสิทธิได้รับมรดกของบิดา จึงต้องตีความโดยเคร่งครัดกฎหมายบทนี้บัญญัติไว้แต่ว่าให้ถือว่าเป็นผู้สืบสันดานเหมือนกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายนี้มิได้บัญญัติให้ถือว่าเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายด้วย (อ้างฎีกาที่ 1271/2506) 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3776/2545
พินัยกรรมที่มีพยานลงลายมือชื่อสองคนแต่มิได้ลงวัน เดือน ปี ที่ทำพินัยกรรมถือว่าเป็นพินัยกรรมที่ทำขึ้นโดยขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1656 ย่อมเป็นโมฆะตามมาตรา 1705 บันทึกข้อตกลงที่มีข้อความว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ได้รับเงินจากผู้ร้องในนามผู้จัดการมรดกของ ส. ไปในวันนี้แล้วและจะไม่เรียกร้องใด ๆ ทั้งสิ้นอีก เป็นข้อตกลงระงับข้อพิพาทในทรัพย์มรดกที่จะมีขึ้นในเรื่องการแบ่งปันทรัพย์มรดกของผู้ตายในอนาคตให้หมดไป จึงเป็นการประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 850 นอกจากนี้เงิน 10,000 บาท ที่ผู้ร้องจ่ายให้ผู้คัดค้านที่ 1 ก็เป็นเงินฌาปนกิจสงเคราะห์ ซึ่งมิใช่ทรัพย์มรดกเพราะมิใช่ทรัพย์สินที่ผู้ตายมีอยู่ก่อนหรือขณะถึงแก่ความตาย ดังนั้น การที่ผู้คัดค้านที่ 1 รับเงินดังกล่าวไป แล้วทำบันทึกว่าจะไม่เรียกร้องใด ๆ ทั้งสิ้นอีก จึงเป็นการสละมรดกทั้งหมดมิใช่สละมรดกเพียงบางส่วนจึงมีผลเป็นการสละมรดกตามมาตรา 1612 และไม่เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 1613 เมื่อผู้คัดค้านที่ 1 สละมรดกแล้วมีผลย้อนหลังไปถึงเวลาเจ้ามรดกตายตามมาตรา 1615 ผู้คัดค้านที่ 1 จึงไม่ใช่ทายาทและผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกไม่มีอำนาจร้องขอถอนผู้จัดการมรดก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1419/2492
ผู้รับมรดกได้ทำเอกสารเป็นการประนีประนอมยอมความในการสละมรดกถูกต้องตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1612,850 และผู้รับมรดกผู้รับผิดได้ลงชื่อไว้ให้แล้วผู้รับมรดกคนอื่นที่มิได้สละสิทธิไม่จำต้องลงชื่อด้วยก็ย่อมใช้ได้และผูกพันผู้รับมรดกที่สละมรดกนั้น
Read more

ข้อเขียนความรู้ชั้นเนติบัณฑิต ภาคหนึ่ง ปี 2548

ข้อ 1. 

นายวันกับนายเดือนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่ง ตามโฉนดที่ดินมิได้ระบุว่า เจ้าของรวมคนใดเป็นเจ้าของส่วนไหนและมิได้บรรยายส่วนว่าเจ้าของรวมคนใดมีส่วนเท่าใด นายวันทำสัญญาจะขาย ที่ดินทั้งแปลงให้แก่นายปี ส่วนนายเดือนก็ทำสัญญาจะขายที่ดินเฉพาะส่วนของตนให้แก่นายอาทิตย์ โดยระบุในสัญญา ระหว่างนายเดือนกับนายอาทิตย์ว่า ส่วนของนายเดือนอยู่ทางด้านทิศใต้ของที่ดิน ทั้งนายวันและนายเดือนต่างไม่ทราบ เรื่องการทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินของอีกคนหนึ่ง ต่อมาเมื่อถึงกำหนดโอนที่ดินตามสัญญา นายวันและนายเดือน ต่างบิดพลิ้วไม่ยอมโอนขายที่ดินให้แก่นายปีและนายอาทิตย์ 

ให้วินิจฉัยว่า 
(ก) นายปีจะฟ้องนายวันและนายเดือนให้โอนขายที่ดินได้หรือไม่ 
(ข) นายอาทิตย์จะฟ้องนายเดือนให้โอนขายที่ดินได้หรือไม่ 

ธงคำตอบ 

(ก) โฉนดที่ดินมิได้ระบุว่าเจ้าของรวมคนใดเป็นเจ้าของที่ดินส่วนไหน และมิได้บรรยายส่วนว่าเจ้าของรวม คนใดมีส่วนเท่าใด นายวันและนายเดือนเจ้าของรวมแต่ละคนย่อมมีส่วนเท่ากันคนละครึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ มาตรา 1357 การที่นายวันทำสัญญาจะขายที่ดินทั้งแปลงแก่นายปีโดยนายเดือนมิได้รู้เห็นยินยอมด้วย สัญญาดังกล่าวจึงไม่ผูกพันนายเดือน คงมีผลผูกพันเฉพาะส่วนของนายวันครึ่งหนึ่ง ตามมาตรา 1361 วรรคหนึ่ง แม้นายปีจะฟ้องบังคับให้นายวันและนายเดือนโอนขายที่ดินทั้งแปลงไม่ได้ แต่นายปีก็มีสิทธิฟ้องเรียกให้นายวันโอน ขายที่ดินครึ่งหนึ่งเฉพาะส่วนของนายวันได้ (เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3480/2538) 

(ข) การเป็นเจ้าของรวมในที่ดินที่มิได้ระบุว่าเจ้าของรวมคนใดเป็นเจ้าของที่ดินส่วนไหน กรรมสิทธิ์รวมของ เจ้าของรวมแต่ละคนย่อมครอบไปเหนือที่ดินทั้งแปลง การที่นายเดือนทำสัญญาจะขายที่ดินแก่นายอาทิตย์โดยระบุ เจาะจงส่วนด้านทิศใต้ของที่ดินนั้น เป็นการขายตัวทรัพย์ ซึ่งรวมถึงส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของนายวันด้วย มิใช่เป็นการ ขายเฉพาะส่วนของนายเดือน จึงต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของรวมทุกคนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1361 วรรคสอง เมื่อไม่ได้รับความยินยอมจากนายวันจึงไม่มีผลผูกพันนายวัน นายอาทิตย์จะฟ้องบังคับให้ นายเดือนโอนขายที่ดินตามสัญญาไม่ได้ (เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2875/2528, 4134/2529) 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3480/2538
จำเลยและจำเลยร่วมเป็นสามีภริยากันและเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทร่วมกัน การที่โจทก์กับจำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทโดยจำเลยร่วมมิได้รู้เห็นหรือให้ความยินยอมด้วย สัญญาดังกล่าวไม่ผูกพันจำเลยร่วม คงสมบูรณ์มีผลผูกพันเฉพาะที่ดินพิพาทส่วนของจำเลยเท่านั้น แม้โจทก์จะไม่อาจบังคับให้จำเลยโอนขายที่ดินพิพาททั้งแปลงตามสัญญาได้ก็ตาม แต่โจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกให้จำเลยโอนขายที่ดินพิพาทส่วนของจำเลยได้ การที่จำเลยไม่ยอมโอนขายที่ดินพิพาทส่วนของตนให้โจทก์ จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา สัญญามีว่าถ้าจำเลยไม่ไปโอนกรรมสิทธิ์ โจทก์มีสิทธิฟ้องบังคับตามสัญญาและเรียกค่าเสียหาย 60,000 บาท ค่าเสียหายดังกล่าวจึงเป็นเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 380 วรรคแรก เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทแล้ว และโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่า การที่จำเลยไม่โอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ ต้องเสียหายอย่างไร ทั้งมิได้นำสืบไว้ จึงเรียกค่าเสียหายไม่ได้ 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2875/2528 
ที่ดินมีโฉนดซึ่ง พ. มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับพี่น้องคนอื่นและมิได้ มีการแบ่งแยกว่าส่วนของใครอยู่ตอนไหนและ มีเนื้อที่เท่าใดผู้มีชื่อในโฉนด ซึ่งถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันจึงยังเป็นเจ้าของรวมอยู่ตามส่วนที่ตนถือกรรมสิทธิ์ โจทก์ทำสัญญาจะซื้อที่ดินกับ พ.โดยระบุว่าที่ดินตามเนื้อที่ ที่ตกลงซื้อขายกันนี้อยู่ทางทิศตะวันออกของที่ดินแปลงใหญ่จึงเป็น การซื้อขายตัวทรัพย์ซึ่งมิใช่เป็นการ ขายกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนของพ. จะกระทำได้ก็แต่ด้วยความยินยอมแห่งเจ้าของรวมทุกคนเมื่อยังมิได้ มีการแบ่งที่ดินเป็นส่วนสัดการที่พ. เอาตัวทรัพย์มาทำสัญญาจะขาย ให้โจทก์โดยเจ้าของรวมคนอื่นมิได้ยินยอมด้วย จึงไม่มีผลผูกพัน เจ้าของรวมคนอื่นและโจทก์จะฟ้องบังคับตามสัญญามิได้ 

ข้อ 2. 

นายอุดรและนายอิสานเป็นเจ้าของรีสอร์ตแห่งหนึ่งร่วมกัน ทั้งสองต้องการปรับปรุงซ่อมแซมรีสอร์ตที่ต้อง ใช้เงินจำนวน 5,000,000 บาท นายอุดรและนายอิสานจึงไปขอกู้เงินจากนายกรุงและนายชาติ โดยทั้งสองฝ่าย ได้ตกลงทำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินฉบับเดียวที่มีข้อสัญญาระบุวงเงินให้กู้ว่า นายกรุงให้กู้จำนวน 3,000,000 บาท นายชาติให้กู้จำนวน 2,000,000 บาท และมีข้อสัญญากำหนดไว้ด้วยว่า นายอุดรและนายอิสานรับผิดในการ กู้เงินนี้อย่างลูกหนี้ร่วม ในสัญญาที่ทำขึ้นนี้ไม่มีกำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ ต่อมาหลังจากทำสัญญากู้ยืมเงินได้ 2 ปี นายกรุงเรียกให้นายอุดรคนเดียวชำระเงินกู้ทั้งหมด 5,000,000 บาทตามสัญญา นายอุดรปฏิเสธไม่ชำระหนี้ ให้นายกรุงโดยยกข้อต่อสู้ว่า นายกรุงไม่มีสิทธิเรียกชำระหนี้ เพราะสัญญากู้ยืมเงินไม่มีกำหนดเวลาคืนเงิน เจ้าหนี้ ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนจึงจะเรียกชำระหนี้ได้ และนายกรุงไม่มีสิทธิเรียกให้นายอุดรคนเดียวชำระเงินกู้ทั้งหมด 5,000,000 บาท เพราะส่วนที่นายอุดรจะต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมนั้นต้องรับผิดเป็นส่วนเท่า ๆ กับนายอิสาน ดังนั้นนายอุดรจึงมีหนี้ต้องชำระเพียง 2,500,000 บาทให้นายกรุงเท่านั้น 

ให้วินิจฉัยว่า ข้อต่อสู้ของนายอุดรฟังขึ้นหรือไม่ 

ธงคำตอบ 

ข้อต่อสู้ของนายอุดรที่ว่านายกรุงไม่มีสิทธิเรียกให้ชำระหนี้เพราะไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้า ฟังไม่ขึ้น เพราะหนี้ไม่มีกำหนดเวลาชำระหนี้ เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกชำระหนี้ได้โดยพลันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 203 โดยไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อน (เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 873/2518, 7399/2547) 

ส่วนข้อต่อสู้ที่ว่านายกรุงไม่มีสิทธิเรียกให้นายอุดรชำระหนี้เงินกู้ทั้งหมด 5,000,000 บาท ฟังขึ้น เพราะตามสัญญากู้ยืมเงินมีการระบุวงเงินให้กู้ของนายกรุงและของนายชาติไว้คนละจำนวนแยกกัน ไม่ได้มีข้อตกลง การเป็นเจ้าหนี้ร่วม กรณีจึงเป็นเจ้าหนี้หลายคนในหนี้ที่แบ่งกันได้ซึ่งเจ้าหนี้แต่ละคนชอบที่จะได้รับแต่เพียงเท่าส่วน ของตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 290 (เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6251/2541) ดังนั้น นายกรุงจะเรียกชำระหนี้เกินกว่าส่วนของตนไม่ได้ 

สำหรับข้อที่นายอุดรต่อสู้ว่านายอุดรต้องรับผิดเพียง 2,500,000 บาทเท่านั้น เนื่องจากเป็นลูกหนี้ร่วมกับ นายอิสานจึงต้องแบ่งส่วนของความรับผิดออกเป็นส่วนเท่าๆ กัน เป็นข้ออ้างในเรื่องความรับผิดในระหว่างลูกหนี้ร่วม ด้วยกันเองตามมาตรา 296 แต่ความรับผิดของลูกหนี้ร่วมต่อเจ้าหนี้นั้น ลูกหนี้ร่วมคนหนึ่งคนใดอาจถูกเรียกให้ชำระ หนี้โดยสิ้นเชิงได้ตามมาตรา 291 ดังนั้นนายอุดรจึงต้องรับผิดชำระหนี้ในส่วนที่นายกรุงให้กู้ทั้งหมดเป็นเงิน 3,000,000 บาท ข้อต่อสู้ของนายอุดรในข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้น 

ข้อ 3. 

การไฟฟ้ามหานครเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายมีหน้าที่และวัตถุประสงค์ในด้านบริการสาธารณูปโภค จำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่ประชาชนในเขตท้องที่ ๆ ให้บริการ วันเกิดเหตุกระแสไฟฟ้าแรงสูงที่จ่ายจากต้นทาง มิได้ปรับให้เป็นกระแสไฟฟ้าแรงต่ำเพื่อไหลเข้าสู่ระบบไฟฟ้าภายในบ้านของประชาชน ทำให้กระแสไฟฟ้าแรงสูง ไหลเข้าสู่เครื่องใช้ไฟฟ้าเกิดการลัดวงจรและเป็นผลทำให้บ้านเรือนของนายหนึ่งเกิดเพลิงไหม้เสียหาย นายหนึ่งได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์เพลิงไหม้นั้น ส่วนนายสองซึ่งมีบ้านเรือนอยู่ติดกับบ้านเรือนของนายหนึ่ง สะสมน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์ของตนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นเหตุให้ไฟที่ลามมาบ้านนายสองไม่อาจควบคุม ได้โดยง่ายเกิดความเสียหายแก่บ้านของนายสองทั้งหลัง 

ให้วินิจฉัยว่า นายหนึ่งและนายสองจะฟ้องการไฟฟ้ามหานครเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายแก่ ร่างกายและทรัพย์สินของตนได้หรือไม่ เพียงใด 

ธงคำตอบ 

กระแสไฟฟ้าถือได้ว่าเป็นทรัพย์อันเป็นของเกิดอันตรายได้โดยสภาพตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 437 วรรคสอง การไฟฟ้ามหานครซึ่งเป็นผู้ครอบครองทรัพย์อันตรายดังกล่าวจึงต้องรับผิดชอบเพื่อ ความเสียหายอันเกิดแต่ทรัพย์นั้น กรณีนี้ ความเสียหายเกิดจากการไฟฟ้ามหานครจ่ายกระแสไฟฟ้าแรงสูงโดยมิได้ ปรับให้เป็นกระแสไฟฟ้าแรงต่ำเพื่อไหลเข้าสู่ระบบไฟฟ้าภายในบ้านของประชาชน จึงมิใช่เกิดแต่เหตุสุดวิสัยหรือเกิด เพราะความผิดของผู้ต้องเสียหาย ดังนั้น การไฟฟ้ามหานครจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายแก่ ร่างกายและทรัพย์สินของนายหนึ่งเต็มจำนวนและเพื่อความเสียหายแก่ทรัพย์สินของนายสอง 

ส่วนการที่นายสองสะสมน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์ของตนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นเหตุให้ ไฟที่ลามมาบ้านนายสองไม่อาจควบคุมได้โดยง่ายเกิดความเสียหายแก่บ้านของนายสองทั้งหลังนั้น เป็นกรณีที่นายสอง ผู้ต้องเสียหายมีส่วนผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้น ค่าสินไหมทดแทนที่นายสองควรจะเรียกได้จึงต้องเฉลี่ยด้วยความผิด ของนายสอง การคำนวณค่าเสียหายจึงต้องอาศัยพฤติการณ์เป็นประมาณว่าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะฝ่ายไหนเป็น ผู้ก่อยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงใดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 442 ประกอบมาตรา 223 

ข้อ 4. 

นายจันทร์ทำสัญญาขายที่ดินแปลงหนึ่งให้แก่นายอังคาร กำหนดโอนกรรมสิทธิ์ภายใน 2 ปี ต่อมา อีก 1 เดือนนายจันทร์นำที่ดินแปลงดังกล่าวไปจดทะเบียนขายฝากไว้กับนายพุธ กำหนดไถ่คืนภายใน 2 ปี เมื่อถึงกำหนดโอนที่ดินให้แก่นายอังคาร นายจันทร์ผิดสัญญาไม่สามารถโอนที่ดินให้ได้และเมื่อใกล้ครบกำหนดไถ่ ที่ดินคืน นายจันทร์ขอเลื่อนกำหนดไถ่ไปอีก 6 เดือน นายพุธยินยอมโดยบันทึกข้อความไว้ในสัญญาขายฝากและ ลงชื่อไว้ ในวันครบกำหนดไถ่ที่เลื่อนไปนายจันทร์ไม่สามารถไถ่ที่ดินคืนได้ นายอังคารทราบจึงไปขอใช้สิทธิไถ่ต่อ นายพุธ นายพุธไม่ยอมให้ไถ่อ้างว่านายอังคารไม่ใช่ผู้มีสิทธิไถ่ ทั้งเลยกำหนดไถ่มาแล้วเพราะการเลื่อนกำหนดเวลาไถ่ ที่ทำไว้กับนายจันทร์เป็นโมฆะ 

ให้วินิจฉัยว่า นายอังคารมีสิทธิไถ่ที่ดินจากนายพุธหรือไม่ 

ธงคำตอบ 

สัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างนายจันทร์และนายอังคารมีข้อตกลงโอนกรรมสิทธิ์ภายใน 2 ปีจึงเป็นสัญญา จะซื้อจะขาย (เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1915/2520) เมื่อนายจันทร์ผิดสัญญา นายอังคารจึงอยู่ในฐานะ ผู้รับโอนสิทธิไถ่ทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 497 (2) และมีสิทธิไถ่ที่ดินคืนจากนายพุธได้ (เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3390-3391/2538, 294/2492) การที่นายจันทร์ขอเลื่อนกำหนดเวลาไถ่ และนายพุธยินยอมโดยบันทึกข้อความไว้ในสัญญาขายฝากและลงชื่อไว้ เป็นการขยายกำหนดเวลาไถ่ที่มีหลักฐาน เป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้รับไถ่ ตามมาตรา 496 วรรคสอง จึงใช้บังคับกันได้ไม่เป็นโมฆะ นายอังคารจึงมีสิทธิ ไถ่ที่ดินคืนจากนายพุธได้ภายในกำหนดเวลาดังกล่าว 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1915/2520
โจทก์ฟ้องว่า ในการซื้อขายที่พิพาท ได้ตกลงกันว่าจำเลยจะต้องไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ด้วย โดยจำเลยจะไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์หลังจากที่จำเลยแบ่งแยกที่พิพาทออกจากโฉนดแล้ว ดังนี้ การซื้อขายที่พิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยมิใช่เป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาด แต่เป็นเพียงสัญญาจะซื้อขาย การที่โจทก์และจำเลยตกลงจะซื้อจะขายที่พิพาทกันแล้วโจทก์เข้าครอบครองที่พิพาทนั้น เป็นการครอบครองโดยอาศัยสิทธิของจำเลยตามสัญญาจะซื้อขาย อันเป็นการยึดถือที่พิพาทแทนจำเลย มิใช่เป็นการ ยึดถือในฐานะเป็นเจ้าของ ทั้งไม่ปรากฏว่าต่อมาโจทก์เปลี่ยนแปลงลักษณะ แห่งการยึดถือโดยบอกกล่าวไปยังจำเลยว่าไม่เจตนาจะยึดถือที่พิพาทแทนจำเลยต่อไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 ดังนั้น แม้จะฟังว่าโจทก์ครอบครองที่พิพาทติดต่อกันเป็นเวลาเกิน 10 ปี โจทก์ ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 294/2492
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามสัญญาจะขายที่นาขณะที่ฟ้องคดีนาไม่ได้อยู่ในกรรมสิทธิ์ของจำเลย โดยได้ตกไปเป็นของผู้รับซื้อฝากเสียแล้ว เมื่อจำเลยยังมิได้ไถ่ถอนกลับคืนมาก็ไม่มีทางที่จะบังคับให้จำเลย ทำการโอนขายให้โจทก์ได้ เพราะสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้ศาลพิพากษาบังคับได้ 

คดีผิดสัญญาจะซื้อขายที่นาอาจมีทางที่โจทก์จะเรียกร้องได้ในทางอื่น เช่น ใช้สิทธิเรียกร้องเอาค่าเสียหายหรือใช้สิทธิเรียกร้องของจำเลยทำการไถ่ถอนการขายฝากจากผู้รับซื้อฝากแทนที่จำเลย ดังที่บัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 233,234 แต่โจทก์หาได้ดำเนินการดังกล่าวไม่ โจทก์ฟ้องโดยเฉพาะเจาะจงขอให้ศาลบังคับจำเลยโอนขายที่นาให้โจทก์แต่ประการเดียว เมื่อศาลบังคับให้โดยตรงเช่นนั้นไม่ได้ ต้องยกฟ้อง 

ข้อ 5. 

นายทรัพย์ทำสัญญากู้ยืมเงินจำนวน 50,000 บาท จากนายมั่น มีกำหนดชำระคืนภายใน 1 ปี โดยมีนายสิน เข้าทำสัญญาค้ำประกันหนี้ดังกล่าว ในการทำสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกัน นายทรัพย์ได้เขียนหนังสือสัญญา กู้ยืมเงินและหนังสือสัญญาค้ำประกันต่อท้ายหนังสือสัญญากู้ยืมเงินให้นายมั่นไว้ด้วยลายมือของตนเอง นายสิน ลงลายมือชื่อเป็นผู้ค้ำประกัน แต่นายทรัพย์ลืมลงลายมือชื่อเป็นผู้กู้ไว้ในสัญญากู้ยืมเงิน แต่ได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้เขียน ในหนังสือสัญญาค้ำประกัน ในสัญญาค้ำประกันดังกล่าวนายสินตกลงยอมให้นายมั่นผ่อนเวลาชำระหนี้ให้แก่ นายทรัพย์ได้ แต่จะต้องแจ้งให้นายสินทราบเป็นหนังสือโดยพลัน เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ นายมั่นยินยอมให้ นายทรัพย์ชำระหนี้ได้ภายใน 6 เดือนนับแต่นั้น โดยนายมั่นมิได้แจ้งให้นายสินทราบเป็นหนังสือตามที่กำหนด ไว้ในสัญญาค้ำประกัน 

ให้วินิจฉัยว่า นายมั่นจะฟ้องเรียกร้องให้นายทรัพย์และนายสินรับผิดตามสัญญากู้ยืมเงินและสัญญา ค้ำประกันได้หรือไม่ 

ธงคำตอบ 

ในกรณีของนายทรัพย์ผู้กู้ แม้นายทรัพย์ลืมลงลายมือชื่อเป็นผู้กู้ไว้ในสัญญากู้ยืมเงิน แต่นายทรัพย์ก็ได้ลงลายมือ ชื่อเป็นผู้เขียนสัญญาค้ำประกันซึ่งอยู่ต่อเนื่องจากหนังสือสัญญากู้ยืมเงินที่นายทรัพย์เขียน นายมั่นจึงใช้หนังสือสัญญา กู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกันดังกล่าวประกอบกันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคหนึ่ง (เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 868/2506, 8396/2540) 

สำหรับนายสินผู้ค้ำประกัน เมื่อนายสินตกลงด้วยในการผ่อนเวลาและการตกลงดังกล่าวสามารถทำล่วงหน้าได้ ทั้งข้อตกลงที่ให้นายมั่นต้องแจ้งการผ่อนเวลาให้นายสินทราบเป็นหนังสือโดยพลันนั้น เป็นเพียงรายละเอียด มิใช่ เงื่อนไขที่ทำให้ข้อตกลงดังกล่าวเสียไปแม้จะไม่มีการปฏิบัติ นายสินก็ไม่หลุดพ้นจากความรับผิดตามมาตรา 700 วรรคสอง (เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4040/2546) นายมั่นจึงฟ้องเรียกให้นายทรัพย์และนายสินรับผิดตามสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกันได้ 

ข้อ 6. 

นายเฉลิมออกเช็คลงวันที่ล่วงหน้าระบุชื่อนายเด่นเป็นผู้รับเงินและขีดฆ่าคำว่า “หรือผู้ถือ” เพื่อชำระหนี้ค่า สินค้าแก่นายเด่น โดยมีนายวินลงลายมือชื่อไว้ที่ด้านหน้าเช็คเป็นประกัน นายเด่นได้สลักหลังเช็คดังกล่าวแล้วนำไป ขายลดแก่นายชาติ ครั้นถึงกำหนดชำระเงินตามเช็ค ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน นายเด่นได้ใช้เงินตามเช็คให้แก่นาย ชาติพร้อมกับรับเช็คคืนมาและทวงถามนายเฉลิมกับนายวินให้ใช้เงินตามเช็ค นายเฉลิมต่อสู้ว่านายเด่นเป็นผู้สลักหลัง ไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินตามเช็ค ส่วนนายวินต่อสู้ว่าด้านหน้าเช็คไม่มีข้อความว่าใช้ได้เป็นอาวัล จึงไม่ต้องรับผิด 

ให้วินิจฉัยว่า ข้อต่อสู้ของนายเฉลิมและนายวินฟังขึ้นหรือไม่ 

ธงคำตอบ 

การที่นายเด่นสลักหลังเช็คแล้วนำไปขายลดแก่นายชาติ แม้นายเด่นจะอยู่ในฐานะผู้สลักหลังมิใช่ผู้ทรงเช็ค ตามที่นายเฉลิมต่อสู้ก็ตาม (เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6339-6340/2539) แต่เมื่อภายหลังที่นายชาติผู้ทรง เรียกเก็บเงินตามเช็คไม่ได้แล้ว นายเด่นได้ใช้เงินตามเช็คให้แก่นายชาติพร้อมกับรับเช็คคืนมา นายเด่นย่อมมีสิทธิ เช่นเดียวกับนายชาติผู้ทรงในการที่จะบังคับเอาแก่ผู้ที่มีความผูกพันอยู่แล้วก่อนตนตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ มาตรา 967 วรรคสาม ประกอบมาตรา 989 วรรคหนึ่ง (เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 841/2499, 3421/2525, 2879/2536) นายเด่นจึงมีสิทธิเรียกร้องให้นายเฉลิมในฐานะผู้สั่งจ่ายรับผิดใช้เงินตามเช็คได้ ข้อต่อสู้ของนายเฉลิมฟังไม่ขึ้น 

การที่นายวินลงลายมือชื่อไว้ที่ด้านหน้าเช็คเป็นประกันการชำระหนี้ค่าสินค้าของนายเฉลิมผู้สั่งจ่ายแม้จะไม่มี ข้อความใด ๆ ก็ตาม ก็จัดว่าเป็นคำรับอาวัลนายเฉลิมผู้สั่งจ่ายแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 939 วรรคสาม ประกอบมาตรา 989 ซึ่งเป็นการอาวัลตามผลของกฎหมาย จึงไม่ต้องมีการเขียนข้อความระบุว่าใช้ได้ เป็นอาวัลตามมาตรา 939 วรรคสอง แต่อย่างใด นายวินจึงต้องรับผิดอย่างเดียวกันกับนายเฉลิมผู้สั่งจ่าย ตามมาตรา 940 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 989 ข้อต่อสู้ของนายวินฟังไม่ขึ้น 

ข้อ 7. 

นายมุ่ง นายมิ่งและนายมั่น ร่วมกันจัดตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดขึ้น โดยให้นายมุ่งเป็นหุ้นส่วนจำพวกจำกัด ความรับผิดแต่เพียงผู้เดียวและนายมิ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ก่อนจดทะเบียนห้าง นายมุ่งได้ทำสัญญาซื้อรถยนต์กระบะ เพื่อนำมาใช้ในกิจการของห้าง จากบริษัทเจริญยนต์ จำกัด 1 คัน โดยได้รับมอบรถยนต์มาใช้แล้วแต่ยังไม่ได้ ชำระราคา ต่อมาได้มีการจดทะเบียนตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าวและดำเนินกิจการจนมีผลกำไรอันจักต้องแบ่งให้แก่ หุ้นส่วนทุกคนตามสัญญา นายมิ่งได้รับส่วนแบ่งกำไรส่วนของตนตามสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนมาแล้ว แต่ไม่ยอมแบ่ง ให้แก่หุ้นส่วนคนอื่น นายมุ่งและนายมั่นต่างได้ทวงถามแล้ว แต่นายมิ่งก็ไม่แบ่งให้ ทั้งไม่ยอมชำระราคารถยนต์ให้แก่ บริษัทเจริญยนต์ จำกัดอีกด้วย นายมั่นไม่พอใจนายมิ่งมากและประสงค์จะถอนหุ้นโดยเรียกเงินที่ลงเป็นค่าหุ้นคืนจาก นายมิ่ง แต่นายมิ่งก็ไม่ยอมคืนให้ 

ให้วินิจฉัยว่า 

(ก) บริษัทเจริญยนต์ จำกัด จะฟ้องนายมุ่งและนายมิ่งให้ร่วมกันชำระราคารถยนต์ดังกล่าว พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันผิดนัดได้หรือไม่ 
(ข) นายมั่นจะฟ้องนายมิ่งขอให้แบ่งส่วนกำไรให้ตามสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนและขอให้คืนเงิน ค่าหุ้นที่ได้ลงไปให้แก่ตนด้วยได้หรือไม่ 

ธงคำตอบ 

(ก) บริษัทเจริญยนต์ จำกัด มีสิทธิตามกฎหมายที่จะฟ้องนายมุ่งและนายมิ่งให้ร่วมกันชำระหนี้ดังกล่าวได้ ทั้งนี้เพราะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1079 ห้างหุ้นส่วนจำกัดถ้ายังมิได้จดทะเบียนอยู่ตราบใด ให้ถือว่าเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ ซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนทั้งหมดย่อมต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนโดยไม่ จำกัดจำนวน นายมุ่งได้ทำสัญญาซื้อรถยนต์กระบะกับบริษัทเจริญยนต์ จำกัด ก่อนที่ห้างจะได้จดทะเบียน ดังนั้น ต้องถือว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าวเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ หุ้นส่วนทุกคนจึงต้องร่วมกันรับผิดชำระราคารถยนต์กระบะ ให้แก่บริษัทเจริญยนต์ จำกัด แม้นายมุ่งจะเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดก็ตาม ก็ไม่อาจอ้างเพื่อให้พ้น ความรับผิดได้ตามนัยแห่งบทกฎหมายข้างต้น ทั้งนายมุ่งยังมีความรับผิดในฐานะที่เป็นคู่สัญญากับบริษัทเจริญยนต์ จำกัด อีกด้วย ส่วนนายมิ่งผู้เป็นหุ้นส่วนอีกคนก็ต้องรับผิดเช่นกัน เพราะรถยนต์กระบะคันดังกล่าวซื้อเพื่อนำมาใช้ใน กิจการของห้างหุ้นส่วน จึงถือได้ว่าเป็นหนี้ของห้างหุ้นส่วนที่หุ้นส่วนทุกคนต้องรับผิดร่วมกันในการชำระราคาให้แก่ ผู้ขาย (เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 386/2519, 992/2521) 

(ข) นายมั่นมีสิทธิตามกฎหมายที่จะฟ้องนายมิ่งขอให้แบ่งส่วนกำไรให้ตามสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนได้ ทั้งนี้เพราะเป็นการฟ้องอ้างว่าหุ้นส่วนด้วยกันปฏิบัติผิดสัญญาโดยไม่ยอมแบ่งกำไรให้ตามสัญญา แม้ห้างหุ้นส่วนจำกัด ยังไม่เลิกกันก็ไม่ขัดขวางการที่ผู้เป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งจะฟ้องหุ้นส่วนคนอื่นว่าปฏิบัติผิดสัญญา ทั้งไม่มีกฎหมายบทใด บังคับว่า เมื่อยังมิได้เลิกหุ้นส่วนกันแล้ว ผู้เป็นหุ้นส่วนฝ่ายหนึ่งจะฟ้องร้องอีกฝ่ายหนึ่งหาว่าผิดสัญญาไม่ได้ (เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1197/2497) 

ส่วนการที่นายมั่นฟ้องนายมิ่งขอให้คืนเงินค่าหุ้นที่ตนได้ลงไปนั้น นายมั่นไม่มีสิทธิตามกฎหมายที่จะฟ้องได้ ทั้งนี้เพราะถ้าห้างหุ้นส่วนจำกัดยังไม่เลิก ผู้เป็นหุ้นส่วนจะฟ้องขอคืนเงิน ค่าหุ้นโดยไม่ได้ฟ้องขอเลิกห้าง และขอให้ชำระบัญชีด้วยไม่ได้ ซึ่งห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้น เมื่อเลิกห้างจะต้องมีการชำระ บัญชีตามมาตรา 1061 เมื่อนายมั่นไม่ได้ฟ้องขอเลิกห้างและขอให้ชำระบัญชีก่อน แต่มาฟ้องขอคืนเงินค่าหุ้น นายมั่น จึงยังไม่มีอำนาจฟ้อง (เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2216/2514, 1767/2529) 

ข้อ 8. 

นายหนึ่งซึ่งถูกศาลสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถทำพินัยกรรมแบบเขียนเองทั้งฉบับในขณะที่มีสติดี และถูกต้องตามกฎหมาย ยกแหวนเพชร 1 วง ที่นายหนึ่งได้รับการยกให้โดยเสน่หาระหว่างสมรสให้แก่นายสอง ซึ่งเป็นเพื่อน หลังจากนั้นอีก 1 เดือน นายหนึ่งได้เขียนข้อความเพิ่มเติมยกเงินจำนวน 100,000 บาท ซึ่งได้มาจาก ราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นจากการขายที่ดินสินส่วนตัวของนายหนึ่งภายหลังที่นายหนึ่งสมรสโดยชอบต่อจากข้อความ ยกแหวนเพชรตามพินัยกรรมฉบับดังกล่าว โดยมิได้ลงลายมือชื่อกำกับไว้ ขณะที่นายหนึ่งถึงแก่ความตาย นายสามบุตร โดยชอบด้วยกฎหมายของนายหนึ่งตายไปก่อนแล้วและนายหนึ่งไม่มีญาติอื่นอีกเลย นอกจากนายสองซึ่งบวชเป็น พระภิกษุ นายห้าซึ่งมิได้เป็นบุตรของนายหนึ่งแต่นายหนึ่งนำมาเลี้ยงเสมือนเป็นบุตรโดยมิได้จดทะเบียนรับเป็น บุตรบุญธรรม กับนายสี่ซึ่งนายสามจดทะเบียนรับเป็นบุตรบุญธรรมไว้ 

ให้วินิจฉัยว่า ทรัพย์สินทั้งสองรายการตามพินัยกรรมของนายหนึ่งจะตกทอดแก่ผู้ใด 

ธงคำตอบ 

กรณีที่นายหนึ่งถูกศาลสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ นายหนึ่งสามารถทำพินัยกรรมได้ เพราะ ความสามารถหาได้ถูกจำกัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 6 ไม่ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 177/2528) 

แหวนเพชรและเงินจำนวน 100,000 บาท ต่างเป็นสินส่วนตัวของนายหนึ่งเพราะแหวนเพชรเป็นทรัพย์สิน ที่นายหนึ่งได้รับการยกให้โดยเสน่หาระหว่างสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1471 (3) ส่วนเงิน 100,000 บาท ซึ่งได้มาจากราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นจากการขายที่ดินสินส่วนตัวของนายหนึ่ง มิใช่ดอกผลของ สินส่วนตัวอันจะเป็นสินสมรสตามมาตรา 1474 (3) (เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกา 1775/2512) ทรัพย์สิน ดังกล่าวจึงเป็นของนายหนึ่งที่จะทำพินัยกรรมได้ แม้นายหนึ่งเขียนพินัยกรรมเพิ่มเติมระบุเงินจำนวน 100,000 บาท ให้แก่นายสองโดยมิได้ลงลายมือชื่อ กำกับไว้ เป็นการไม่ชอบตามมาตรา 1657 วรรคสองก็ตาม แต่คงมีผลเพียงว่าไม่มีการเติมข้อความส่วนนี้เท่านั้น ข้อความส่วนอื่นยังคงสมบูรณ์อยู่ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6433/2546) ดังนั้น แหวนเพชรจึงตกทอดแก่นายสอง ตามพินัยกรรม เพราะการเป็นพระภิกษุอยู่ก็อาจรับทรัพย์ตามพินัยกรรมได้ตามมาตรา 1622 วรรคสอง 

ส่วนเงินจำนวน 100,000 บาท ต้องนำมาปันให้แก่ทายาทโดยธรรมของนายหนึ่งตาม มาตรา 1620 นายสองมิใช่ทายาทโดยธรรมของนายหนึ่งตามมาตรา 1629 เพราะนายสองเป็นเพียงเพื่อน นายห้ามิได้เป็นบุตร ของนายหนึ่ง และนายหนึ่งก็มิได้จดทะเบียนรับเป็นบุตรบุญธรรม จึงมิใช่ผู้สืบสันดานตามมาตรา 1627 (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9003/2547) 

ส่วนนายสี่แม้จะเป็นบุตรบุญธรรมของนายสาม ก็ไม่มีสิทธิรับมรดกแทนที่ เพราะมิใช่ผู้สืบสันดานโดยตรงตามมาตรา 1643 (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2495/2540) ดังนั้นเมื่อนายหนึ่งไม่มี ทายาทโดยธรรมหรือผู้รับพินัยกรรม เงินจำนวนนี้จึงตกทอดแก่แผ่นดินตามมาตรา 1753
Read more

ข้อเขียนความรู้ชั้นเนติบัณฑิต ภาคหนึ่ง ปี 2547

ข้อ 1. 

นายสมโชคเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 10 ด้านทิศตะวันตกติดถนนสาธารณะ ส่วนด้านทิศตะวันออกติดกับที่ดินโฉนดเลขที่ 11 ของนายทองดีซึ่งเป็นที่ดินที่มีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะ โดยที่ดินของนายทองดีด้านทิศใต้ติดกับที่ดินโฉนดเลขที่ 12 ของนายมี และที่ดินของนายมีทางด้านทิศใต้ติดกับ ถนนสาธารณะ ซึ่งนายทองดีมีสิทธิเดินผ่านที่ดินของนายมีออกไปสู่ถนนสาธารณะในฐานะทางจำเป็นได้ ต่อมา นายสมโชคได้ซื้อที่ดินของนายทองดีและจะใช้ทางที่นายทองดีเคยเดินผ่านที่ดินของนายมีออกไปสู่ถนนสาธารณะ แต่นายมีปิดทางไม่ยอมให้นายสมโชคเดินผ่าน และนายมียังอ้างว่าต้นมะม่วงอายุ 2 ปี ซึ่งขึ้นอยู่ในที่ดินที่นายสมโชคซื้อจากนายทองดี เป็นของนายมีเพราะต้นมะม่วง งอกจากเมล็ดมะม่วงที่ตกมาจากต้นมะม่วงในที่ดินของนายมี 

ให้วินิจฉัยว่า นายสมโชคจะฟ้องบังคับนายมีให้เปิดทางดังกล่าวเป็นทางจำเป็นได้หรือไม่ และใคร เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในต้นมะม่วง 

ธงคำตอบ 

การที่นายสมโชคซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 11 มาจากนายทองดีนั้น แม้เดิมนายทองดีเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 11 จะมีสิทธิใช้ทางเดินในที่ดิน โฉนดเลขที่ 12 ของนายมีในฐานะทางจำเป็นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 ก็ตาม นายสมโชคผู้รับโอนที่ดิน ดังกล่าวหาได้สิทธิในทางเดินนั้นมาด้วย อย่างภาระจำยอมไม่ เพราะทางจำเป็นมิใช่สิทธิที่ติดกับที่ดินที่จะโอนไปพร้อมกับที่ดินด้วย ทางจำเป็นเกิดขึ้นและมีอยู่ตามความจำเป็น เมื่อที่ดินโฉนดเลขที่ 11 ซึ่งนายสมโชคซื้อมามีทางออกสู่ถนนสาธารณะโดยผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 10 ของนายสมโชคซึ่งอยู่ติดกันได้อยู่ แล้ว นายสมโชคจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ทางเดินผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 12 ของนายมีที่นายทองดีเคยใช้ต่อไปอีก (คำพิพากษาฎีกา ที่ 811-812/2540, 5672/2546 ประชุมใหญ่) ดังนั้น นายสมโชคจึงฟ้องบังคับให้นายมีเปิดทางดังกล่าวเป็นทางจำเป็นไม่ได้ 

ส่วนกรณีต้นมะม่วงตามปกติจะมีอายุยืนกว่า 3 ปี จึงเป็นไม้ยืนต้น แม้ต้นมะม่วงที่ขึ้นอยู่ในที่ดินของนายสมโชคซึ่งซื้อมาจากนายทองดี จะมีอายุ เพียง 2 ปี ก็ถือว่าเป็นไม้ยืนต้นเพราะดูที่ประเภทไม้ ดังนั้น ต้นมะม่วงจึงเป็นส่วนควบของที่ดินแปลงที่นายสมโชคซื้อมา ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 145 วรรคหนึ่ง เมื่อนาย สมโชคเป็นเจ้าของที่ดินแปลงนี้ จึงเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในต้นมะม่วงดังกล่าวด้วย ตามมาตรา 144 วรรคสอง ถึงแม้ต้นมะม่วงนั้นจะงอกจากเมล็ดมะม่วงที่ตกมาจากต้นมะม่วงของนายมีก็ตาม 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 811 - 812/2540
แม้เดิมผู้อยู่ในที่ดินแปลงที่โจทก์รับโอนมาจะมีสิทธิใช้ทางในที่ดินของจำเลยในฐานะทางจำเป็นก็ไม่ได้หมายความว่าโจทก์ผู้รับโอนที่ดินจะได้สิทธิในทางเดินนั้นมาด้วยอย่างภารจำยอมเพราะทางจำเป็นมิใช่สิทธิที่ติดกับที่ดินที่จะโอนไปพร้อมกับที่ดินด้วยทางจำเป็นเกิดขึ้นและมีอยู่ตามความจำเป็นเมื่อโจทก์ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ทางนั้นเพราะโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินอีกแปลงหนึ่งซึ่งโจทก์สามารถใช้ที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นทางออกสู่ทางสาธารณะได้โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอเปิดทางพิพาทเป็นทางจำเป็นไม่ว่าจะเป็นกรณีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 หรือมาตรา 1350 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5672/2546
การที่ผู้เป็นเจ้าของที่ดินที่โจทก์รับโอนมามีสิทธิใช้ทางพิพาทในที่ดินของจำเลยในฐานะทางจำเป็นมาก่อน ก็ไม่ได้หมายความว่า โจทก์จะได้สิทธิในทางพิพาทนั้นด้วยอย่างภารจำยอม เพราะทางจำเป็นมิใช่สิทธิที่ติดกับที่ดินที่จะโอนไปพร้อมกับที่ดินด้วยทั้งเป็นการจำกัดและริดรอนอำนาจกรรมสิทธิ์ที่ดินของบุคคลอื่น จึงต้องแปลความโดยเคร่งครัด เมื่อที่ดินซึ่งโจทก์รับโอนมามีทางออกสู่ทางสาธารณะโดยผ่านที่ดินอีกแปลงหนึ่งของโจทก์ซึ่งอยู่ติดกัน แม้ส่วนที่ดินที่ติดกันกว้างเพียง 1.16 เมตร และทางเดินออกสู่ทางสาธารณะกว้างเพียง 1.35 เมตร ไม่สามารถใช้รถยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อผ่านเข้าออกได้ก็เป็นเรื่องความสะดวกของโจทก์ เท่านั้น หาใช่ว่าโจทก์ไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะไม่ โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอเปิดทางพิพาทในที่ดินของจำเลยเป็นทางจำเป็น 

ข้อ 2. 

นายสมชายทำสัญญาซื้อไก่พันธุ์พิเศษที่เพาะเลี้ยงจากฟาร์มไก่ของนายพินิจเท่านั้นจำนวน 1,000 ตัว ในราคา 50,000 บาท โดยวางเงินมัดจำไว้ 5,000 บาท ตกลงจะมีการส่งมอบและชำระราคาที่เหลือในอีก 1 เดือน ก่อนวันส่งมอบ ประมาณ 1 สัปดาห์ ปรากฏว่ามีโรคไข้หวัดนกระบาดเข้าไปถึงท้องที่ฟาร์มไก่ของนายพินิจ เป็นเหตุให้ไก่ที่นายพินิจเลี้ยงอยู่ประมาณ 10,000 ตัว ตายไปประมาณครึ่งหนึ่ง ทางการได้ประกาศให้ท้องที่ดังกล่าวเป็นเขตไข้หวัดนกระบาดและมีคำสั่งให้นำ ไก่ในเขตนั้นไป ทำลายโดยเร็ว ครั้นถึงวันส่งมอบไก่ นายพินิจไม่ส่งมอบไก่แก่ นายสมชาย แต่ขอให้นายสมชายชำระราคาที่เหลือ นายสมชายไม่ยอมชำระราคาไก่ที่เหลือ และเรียกร้องให้นายพินิจ คืนเงินมัดจำและชดใช้ค่าเสียหายที่นายสมชายไม่ได้กำไรจากการซื้อขายครั้งนี้ 10,000 บาท 

ให้วินิจฉัยว่า นายพินิจมีสิทธิเรียกร้องราคาไก่ที่เหลือจากนายสมชายหรือไม่ และนายพินิจต้องรับผิดต่อนายสมชายหรือไม่ เพียงใด 

ธงคำตอบ 

สัญญาซื้อขายไก่เป็นสัญญาต่างตอบแทน แต่เมื่อยังไม่มีการคัดเลือกไก่ จึงมิใช่สัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 370 และมาตรา 371 เมื่อก่อนส่งมอบมีโรคไข้หวัดนกระบาดเข้าไปในฟาร์มไก่ของนายพินิจ และทางการได้มีคำสั่งให้นำไก่ในเขตนั้นไป ทำลายแล้ว กรณีจึงเป็นเรื่องการชำระหนี้ของลูกหนี้ ตกเป็นพ้นวิสัยเพราะเหตุที่โทษลูกหนี้ในสัญญาต่างตอบแทนไม่ได้ ลูกหนี้ย่อมหลุดพ้นจากหนี้นั้นตามมาตรา 219 วรรคหนึ่ง 

และ ขณะเดียวกันลูกหนี้ย่อมไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้ตอบแทนตามมาตรา 372 วรรคหนึ่ง ดังนั้น นายพินิจไม่จำต้องส่งมอบไก่แก่นายสมชาย และนายพินิจไม่มีสิทธิเรียกร้องราคาไก่ที่เหลือจากนายสมชาย แต่นายพินิจต้องคืนเงินมัดจำ 5,000 บาท แก่นายสมชาย และกรณีนี้ถือว่าการชำระหนี้ของนายพินิจตกเป็นพ้นวิสัย เพราะเหตุอันจะ โทษนายพินิจไม่ได้ นายพินิจมิได้เป็นฝ่ายที่ผิดสัญญา นายสมชายจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายเนื่องจากขาดกำไรจากนายพินิจ 

ข้อ 3. 

นายเหี้ยมหาญเป็นครูสอนวิชาพลศึกษานักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ของโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง นักเรียนของนายเหี้ยมหาญ มีอายุระหว่าง 11 - 13 ปี ในวันเกิดเหตุระหว่างเวลา 13 - 14 นาฬิกา นายเหี้ยมหาญสั่งให้นักเรียนในชั้นทั้งหมด 30 คน วิ่งรอบสนาม ซึ่งมีความยาวประมาณ 200 เมตร จำนวน 12 รอบ เพื่อลงโทษที่ นักเรียนกลุ่มนั้นทำผิดระเบียบ ในระหว่างวิ่งรอบที่ 11 เด็กชายอ่อนซึ่งป่วยเป็นโรคหัวใจอยู่ก่อนแล้วเป็นลมล้มลง และเสียชีวิตเมื่อไป ถึงโรงพยาบาล ทั้งนี้โดยนายเหี้ยมหาญมิได้รู้มาก่อนว่าเด็กชายอ่อนป่วยเป็นโรคหัวใจ 

ให้วินิจฉัยว่า นางแข็งมารดาของเด็กชายอ่อนผู้ตายจะฟ้องนายเหี้ยมหาญ และเจ้าของโรงเรียนผู้เป็นนายจ้างเพื่อให้รับผิดในความตาย ของเด็กชายอ่อนได้ หรือไม่ เพียงใด 

โดยเฉพาะจะเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันมิใช่ตัวเงินได้หรือไม่ หากโรงเรียนที่เกิดเหตุมิใช่โรงเรียนเอกชน แต่เป็นโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร บุคคลที่อาจถูกฟ้องเป็นจำเลยจะแตกต่างออกไป หรือไม่ อย่างไร 

ธงคำตอบ 

การที่นายเหี้ยมหาญลงโทษเด็กนักเรียนอายุเพียง 11-13 ปี โดยสั่งให้วิ่งรอบสนาม ซึ่งมีความยาวประมาณ 200 เมตร เป็นจำนวนมาก ถึง 12 รอบ ในช่วงเวลาบ่ายนั้น ถือเป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่กรณี โดย นายเหี้ยมหาญสามารถคาดเห็นได้ว่าการลงโทษเช่นนั้น อาจเป็นอันตรายแก่เด็กนักเรียนที่ถูกลงโทษได้ จึงเป็นการ กระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย โดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้เด็กชายอ่อนถึงแก่ความตาย เป็นการทำละเมิด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 และเป็นการกระทำในทางการที่จ้าง ดังนั้น นางแข็งจึงฟ้อง นายเหี้ยมหาญในฐานะลูกจ้าง และเจ้าของโรงเรียนในฐานะนายจ้างให้ร่วมกันรับผิดในผลแห่งละเมิดของ นายเหี้ยมหาญที่กระทำโดยประมาทเลินเล่อมีผลโดยตรงต่อความตายของเด็กชายอ่อนและเป็นการกระทำใน ทางการที่จ้างได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 และ 425 ค่าเสียหายที่เรียกได้ คือค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอื่น ๆ ตามมาตรา 443 ค่าขาดไร้อุปการะเลี้ยงดูของนางแข็งมารดาของ เด็กชายอ่อนตามมาตรา 443 วรรคสาม แต่จะเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันมิใช่ตัวเงิน ตามมาตรา 446 มิได้ เพราะมิใช่ เป็นการกระทำละเมิดแก่ร่างกาย อนามัย หรือเสรีภาพ การที่เด็กชายอ่อนเป็นโรคหัวใจเป็นพฤติการณ์ที่อาจนำมาใช้ในการกำหนด ค่าเสียหายให้ลดลงได้ตามมาตรา 438 วรรคหนึ่ง คือพิจารณาจากพฤติการณ์และความร้ายแรงของการละเมิด แต่จะนำมายกเว้นความ รับผิดของนายเหี้ยมหาญและเจ้าของโรงเรียน โดยอ้างว่าไม่รู้ข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่ได้ (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 5129/2546) 

หากโรงเรียนที่เกิดเหตุเป็นโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ เฉพาะ กรุงเทพมหานครซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้เสียหายในผลแห่งละเมิด ที่นายเหี้ยมหาญเจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการ ปฏิบัติหน้าที่ครูสอนพละเท่า นั้น ในกรณีนี้นางแข็งจะฟ้องนายเหี้ยมหาญเจ้าหน้าที่ไม่ได้ ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มาตรา 5 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5129/2546
จำเลยที่ 1 ได้รับมอบหมายให้สอนวิชาพลศึกษาถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้รับมอบหมายให้ดูแลนักเรียนให้ได้รับความปลอดภัยในชั่วโมงดังกล่าวด้วย การสั่งให้นักเรียนวิ่งรอบสนามซึ่งมีระยะทางประมาณ 200 เมตร ต่อ 1 รอบ จำนวน 3 รอบ ถือเป็นการอบอุ่นร่างกายนับเป็นสิ่งที่เหมาะสม แม้เมื่อนักเรียนวิ่งไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยในการวิ่งครบ 3 รอบแล้ว จำเลยที่ 1 ได้สั่งให้วิ่งต่ออีก 3 รอบ จะถือเป็นวิธีการทำโทษที่เหมาะสมตามควรแก่พฤติการณ์แล้วแต่การที่นักเรียนทั้งหมดยังวิ่งได้ไม่เรียบร้อยแบบเดิมอีก จำเลยที่ 1 ก็ควรหามาตรการหรือวิธีการลงโทษโดยวิธีอื่น การที่สั่งให้วิ่งต่อไปอีก 3 รอบและเมื่อนักเรียนยังทำได้ไม่เรียบร้อย จำเลยที่ 1 ก็สั่งให้วิ่งต่อไปอีก 3 รอบ ในช่วงเวลาหลังเที่ยงวันอากาศร้อนและมีแสงแดดแรงนับเป็นการใช้วิธีการลงโทษที่ไม่เหมาะสม เพราะอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของนักเรียนซึ่งอายุระหว่าง 11 ปี ถึง 12 ปีได้ จึงเป็นการกระทำโดยไม่ชอบและเป็นความประมาทเลินเล่อ ทั้งการออกกำลังกายโดยการวิ่งย่อมทำให้หัวใจเต้นแรงกว่าปกติ จำนวนรอบที่เพิ่มมากขึ้น ย่อมทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นเมื่อเป็นเวลานานย่อมเป็นอันตรายต่อหัวใจที่ไม่ปกติจนทำให้เด็กชาย พ. ซึ่งเป็นโรคหัวใจอยู่ก่อนแล้วล้มลงในการวิ่งรอบที่ 11 และถึงแก่ความตายในเวลาต่อมาเพราะสาเหตุระบบหัวใจล้มเหลว จึงเป็นผลโดยตรงจากคำสั่งของจำเลยที่ 1 แม้จำเลยที่ 1 จะไม่ทราบว่าเด็กชาย พ. เป็นโรคหัวใจก็ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดเป็นเหตุให้เด็กชาย พ. ถึงแก่ความตาย การที่จำเลยที่ 1 ทำการสอนวิชาพลศึกษาของโรงเรียนเป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการในฐานะผู้แทนของกรมสามัญศึกษาจำเลยที่ 2 การออกคำสั่งให้นักเรียนวิ่งรอบสนามเพื่ออบอุ่นร่างกายและการลงโทษนักเรียนให้วิ่งรอบสนาม ก็ถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วย เมื่อทำให้เด็กชาย พ. ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายแก่โจทก์ผู้เป็นมารดาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 76 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดชดใช้ค่าขาดไร้อุปการะและค่าปลงศพกับค่าใช้จ่ายในการจัดงานศพอันเป็นความรับผิดชอบตามกฎหมาย แม้จะมีบุคคลภายนอกนำเงินมาให้โจทก์เพื่อช่วยเหลืองานศพหรือจัดการศพเด็กชาย พ. ก็ไม่อาจทำให้ความรับผิดชอบตามกฎหมายของจำเลยที่ 2 ต้องหมดไปหรือลดน้อยลงไปได้ กรณีจึงไม่อาจนำเงินช่วยงานศพที่โจทก์ได้รับจากสมาคมผู้ปกครองและครูของโรงเรียนมาหักออกจากค่าสินไหมทดแทนที่จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดชดใช้ให้แก่โจทก์ได้ การที่บุตรของโจทก์ถึงแก่ความตายเพราะถูกทำละเมิดโจทก์ซึ่งเป็นมารดาตกเป็นผู้ขาดไร้อุปการะตามกฎหมายแล้ว โดยไม่ต้องคำนึงว่าในปัจจุบันและในอนาคตภาวะเศรษฐกิจของประเทศจะเป็นอย่างไร เด็กชายจะสามารถทำงานมีรายได้มาอุปการะโจทก์ได้หรือไม่ จำเลยที่ 1 เป็นอาจารย์สอนวิชาพลศึกษาสั่งให้นักเรียนวิ่งรอบสนาม 3 รอบ เพื่ออบอุ่นร่างกายและการที่จำเลยที่ 1 สั่งให้นักเรียนวิ่งต่อไปอีก 3 รอบ เพราะนักเรียนวิ่งกันไม่เรียบร้อยและไม่เป็นระเบียบ เป็นวิธีการสอนและลงโทษนักเรียนตามสมควรแก่เหตุและเหมาะสม แต่การที่จำเลยที่ 1 สั่งให้วิ่งอีก 3 รอบสนาม ในครั้งที่ 3 และครั้งที่ 4 เป็นการใช้วิธีการที่ไม่เหมาะสมและไม่ชอบแต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 มุ่งหวังให้นักเรียนได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิตจำเลยที่ 1 ยังมีความหวังดีต่อนักเรียนต้องการอบรมสั่งสอนนักเรียนให้มีความรู้เหมือนดังวิสัยของครูทั่วไป แม้เป็นเหตุให้เด็กชาย พ. ถึงแก่ความตายแต่จำเลยที่ 1 มิได้จงใจหรือกระทำการประมาทอย่างร้ายแรง เพียงแต่กระทำโดยประมาทเลินเล่อขาดความรอบคอบและไม่ใช้ความระมัดระวังเช่นผู้มีอาชีพครูสอนพลศึกษาจะพึงปฏิบัติและสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากสุขภาพของเด็กชาย พ. ไม่แข็งแรงมีโรคประจำตัวคือโรคหัวใจ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมายของจำเลยที่ 1 แม้จำเลยที่ 1 จะอ้างความไม่รู้ถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวมาปฏิเสธความรับผิดชอบตามกฎหมายไม่ได้ แต่ศาลก็สามารถนำมาใช้ประกอบดุลพินิจในการกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์ของการทำละเมิดได้ แม้เหตุละเมิดเกิดขึ้นก่อนที่พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ใช้บังคับ แต่ขณะที่โจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้พระราชบัญญัติฉบับนี้ใช้บังคับแล้วสิทธิของโจทก์ในการฟ้องเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานของรัฐให้รับผิดทางละเมิด จึงต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว ฉะนั้นเมื่อการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์เป็นการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 2 โจทก์จึงต้องห้ามมิให้ฟ้องจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 

ข้อ 4. 

นายแมนทำหนังสือสัญญาเช่าบ้านหลังหนึ่งจากนายหมูมีกำหนด 3 ปี มีข้อตกลงด้วยว่าห้ามนำบ้านหลังดังกล่าวไปให้เช่าช่วง ต่อมาในระหว่างสัญญาเช่า นายแมนตกลงด้วยวาจาให้นายเจนเช่าบ้านหลังนี้โดยไม่กำหนดระยะเวลากันไว้ อัตราค่าเช่าเดือนละ 3,000 บาท ชำระค่าเช่าทุกวันสิ้นเดือน หลังจากให้นายเจนเช่าบ้านได้ 6 เดือน นายแมนเห็นว่ายังเหลือระยะเวลาตามสัญญาเช่าเดิม อีก 1 ปี และตนเองอยากกลับเข้าอยู่อาศัยในบ้านหลังนี้ อีกครั้ง จึงบอกกล่าวเลิกสัญญาเช่าแก่นายเจนในวันสิ้นเดือนของเดือนหนึ่ง ขอให้นายเจนขนย้ายออกจากบ้านเช่าภายใน 15 วัน ครบ กำหนด 15 วันแล้วนายเจนไม่ยอมออก นายแมนจึงยื่นฟ้องต่อศาลในวันรุ่งขึ้น ขอให้ขับไล่ นายเจนออกจากบ้านเช่า นายเจนให้การต่อสู้คดีว่า (ก) นายแมนให้นายเจนเช่าช่วงบ้านฝ่าฝืนข้อตกลงตามสัญญาที่ทำไว้กับนายหมู นายแมนจึงไม่มีอำนาจฟ้อง (ข) การบอกเลิกสัญญาเช่าของนายแมนไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะนายเจนไม่ได้ทำผิดสัญญา และนายแมนบอกกล่าวให้เวลาน้อยกว่า 1 เดือน 

ให้วินิจฉัยว่า ข้อต่อสู้ของนายเจนทั้งสองข้อรับฟังได้หรือไม่ 

ธงคำตอบ 

(ก) แม้นายแมนทำหนังสือสัญญาเช่าบ้านจากนายหมูมีข้อตกลงห้ามนำบ้านไปให้เช่าช่วง แต่การที่ นายแมนฝ่าฝืนข้อตกลงโดยนำบ้านหลังดังกล่าวไปให้นายเจนเช่าช่วง ก็เป็นเรื่องที่นายแมนต้องรับผิดต่อนายหมู ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 544 ไม่เกี่ยวกับนายเจนผู้เช่าช่วง เมื่อนายเจนตกลง เช่าช่วงบ้านจากนายแมน การเช่า ช่วงดังกล่าวย่อมผูกพันนายแมนและนายเจนในฐานะบุคคลสิทธิและนายเจน ย่อมถูกปิดปากมิให้โต้แย้งอำนาจของนายแมนซึ่งตนเข้า ทำสัญญาด้วย นายเจนไม่อาจยกข้ออ้างที่นายแมนให้ตนเองเช่าช่วงบ้านโดยฝ่าฝืนข้อตกลงตาม สัญญาเช่าที่ทำกับนายหมูมาต่อสู้นาย แมนได้ นายแมนมีอำนาจฟ้อง 

(ข) การเช่าบ้านระหว่างนายแมนและนายเจนทำกันด้วยวาจา ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใด ลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด จึงฟ้องให้บังคับคดีไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 กรณีเช่นนี้ถือว่านายเจนผู้เช่าเข้าอยู่ในบ้านพิพาทโดยอาศัยสิทธิของนายแมนผู้ให้เช่า เมื่อนายแมนไม่ประสงค์จะให้อยู่ต่อก็สามารถ ฟ้องขับไล่ได้ แม้นายเจนจะมิได้ทำผิดสัญญาใด ๆ นอกจากนี้การเช่าที่ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น แม้จะมิได้กำหนดเวลาเช่ากันไว้ก็ไม่ อยู่ในบังคับของมาตรา 566 ที่นายแมนที่จะต้องบอกกล่าวการเลิกสัญญาแก่นายเจนให้รู้ตัวก่อนชั่วกำหนดเวลาชำระค่าเช่าระยะหนึ่ง เป็นอย่างน้อย นายแมนมีสิทธิฟ้องขับไล่นายเจนได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวก่อน (คำพิพากษาฎีกาที่ 20/2519) ข้อต่อสู้ของนายเจนทั้งสองข้อรับฟังไม่ได้ 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 20/2519 
เช่าบ้านไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ผู้ให้เช่าขับไล่ผู้เช่าได้โดยไม่ต้องบอกเลิกตาม มาตรา 566 ซึ่งใช้ในกรณีมีหนังสือเช่าเป็นหลักฐานใบเสร็จรับเงินค่าเช่าเป็นหลักฐานการเช่าได้หรือไม่ไม่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน มิใช่จะยกขึ้นอ้างเมื่อใดก็ได้ 

ข้อ 5. 

นายดำทำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินนายแดง 1,000,000 บาท โดยจำนำแหวนเพชรหนึ่งวงราคา 600,000 บาท เป็นประกันการ ชำระหนี้ มีนายขาวเป็นผู้ค้ำประกันและนายเขียวจำนองที่ดินเป็นประกันหนี้กู้ยืมดัง กล่าวซึ่งไม่มีกำหนดเวลาชำระหนี้ ต่อมานายแดง ให้นายดำยืมแหวนเพชรวงดังกล่าวไปใช้แล้วนายดำมิได้นำมาคืน ต่อมาวันที่ 1 สิงหาคม 2547 นายแดงมีหนังสือทวงถามไปยังนายดำ ให้ชำระหนี้กู้ยืมภายใน 15 วัน และมีหนังสือบอกกล่าวไปยังนายเขียวให้ไถ่ถอนจำนองโดยเร็วที่สุด นายดำและนายเขียวได้รับหนังสือ ดังกล่าวเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2547 แต่นายแดงลืมทวงถามให้นายขาวชำระหนี้ วันที่ 3 กันยายน 2547 นายแดงฟ้องนายดำ นายขาว และนายเขียว ให้รับผิดตามสัญญากู้ยืม ค้ำประกัน และจำนอง ตามลำดับ 

ให้วินิจฉัยความรับผิดของนายดำ นายขาว และนายเขียว 

ธงคำตอบ 

นายดำเป็นผู้กู้ยืมเงินนายแดงโดยมีสัญญากู้ยืมเป็นหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อนายดำผู้กู้ แม้สัญญาไม่มีกำหนดเวลาใช้คืนเงินกู้ นายแดงก็มีสิทธิฟ้องเรียกเงินคืนได้โดยไม่จำต้องบอกกล่าวก่อน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา 652 เมื่อนายแดงบอกกล่าวแล้วนายดำไม่ชำระหนี้ นายดำตกเป็นผู้ผิดนัด ตามมาตรา 204 วรรคหนึ่ง จึงต้องรับผิดชำระหนี้เงินกู้ 1,000,000 บาท แก่นายแดง 

นายขาวเป็นผู้ค้ำประกัน แม้นายแดงลืมบอกกล่าวทวงถามให้นายขาวชำระหนี้ แต่เมื่อนายดำลูกหนี้ ผิดนัดแล้ว นายแดงย่อมมีสิทธิเรียกให้นายขาวชำระหนี้ได้ตามมาตรา 686 โดยไม่จำต้องบอกกล่าวทวงถามแก่ นายขาว (คำพิพากษาฎีกาที่ 6389/2534) การที่นายแดงผู้รับจำนำให้นายดำยืมแหวนเพชรไปทำให้ทรัพย์ที่จำนำกลับคืนสู่ ครอบครอง ของนายดำผู้จำนำ สิทธิจำนำจึงระงับตามมาตรา 769 (2) (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 2517/2534) และเป็นเรื่องเจ้าหนี้ทำให้ผู้ค้ำประกัน ไม่อาจรับช่วงสิทธิจำนำได้เพราะการ กระทำของเจ้าหนี้ตามมาตรา 697 นายขาวผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดเพียงเท่าที่ ตนเสียหายคือ 600,000 บาท ดังนั้น นายขาวต้องรับผิดต่อนายแดง 400,000 บาท 

สำหรับนายเขียวผู้จำนอง การบอกกล่าวบังคับจำนองต้องทำเป็นจดหมายบอกกล่าวไปยังลูกหนี้ให้ชำระหนี้ภาย ในเวลาอันสมควรซึ่ง กำหนดให้ในคำบอกกล่าวนั้น ตามมาตรา 728 หนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองของนายแดงมิได้กำหนดเวลาให้นายเขียวชำระหนี้ จึงเป็นการบอกกล่าวบังคับจำนองที่ไม่ชอบ นายแดงยังไม่มีสิทธิฟ้องบังคับจำนอง นายเขียวจึงยังไม่ต้องรับผิดต่อนายแดง 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6389/2534
จำเลยที่ 3 แถลงต่อศาลชั้นต้นว่าจะสืบ ต. ในประเด็นว่าโจทก์โดย ต. มิได้บอกกล่าวทวงถามชำระหนี้จากจำเลยที่ 1 ก่อนแต่จำเลยที่ 3 มิได้ให้การข้อที่จะขอนำสืบ ต. ดังกล่าวเป็นประเด็นไว้ ที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าการสืบ ต. เป็นเรื่องฟุ่มเฟือยไร้สาระให้งดสืบนั้น จึงชอบแล้ว แม้โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาทรัสต์รีซีทภายใต้เล็ตเตอร์ออฟเครดิตเลขที่ 371391/355 และมีหนังสือทวงถามถึงจำเลยที่ 1 ให้ชำระหนี้แก่โจทก์ตามสัญญาทรัสต์รีซีทภายใต้เล็ตเตอร์ออฟเครดิต เลขที่ 271391/355 แต่ภายหลังจำเลยที่ 3ยื่นคำให้การแล้วโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องโดยขอแก้เป็นว่าทำสัญญาทรัสต์รีซีทภายใต้เล็ตเตอร์ออฟเครดิตเลขที่ 271391/355 จำเลยที่ 3 ไม่ได้คัดค้านและศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตแล้ว จึงไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นที่ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ สัญญาทรัสต์รีซีทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 มีข้อความระบุว่าจำเลยที่ 1 ยินยอมผูกพันตามข้อสัญญาในการออกเล็ตเตอร์ออฟเครดิตสำหรับการสั่งซื้อสินค้ารายนี้ ซึ่งก็คือสัญญาเล็ตเตอร์ออฟเครดิตระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ตามฟ้อง สัญญาทรัสต์รีซีทกับสัญญาเล็ตเตอร์ออฟเครดิตดังกล่าวจึงเป็นสัญญาที่ต่อเนื่องกัน เมื่อจำเลยที่ 1 ยอมจ่ายเงินที่โจทก์ได้จ่ายไปตามสัญญาเล็ตเตอร์ออฟเครดิตกับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี นับแต่วันที่ลงบนตั๋วแลกเงินถึงวันที่จ่ายจริง แม้การทำสัญญาทรัสต์รีซีทจะไม่มีการตกลงกันเกี่ยวกับดอกเบี้ย จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกันก็ต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยในอัตราตามสัญญาเล็ตเตอร์ออฟเครดิต โจทก์บอกกล่าวทวงถามจำเลยที่ 1 แล้ว แต่จำเลยที่ 1 เพิกเฉยต้องฟังว่าจำเลยที่ 1 ผิดนัดแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้ทันที โดยไม่ต้องบอกกล่าวก่อน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 686 จึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าโจทก์แจ้งให้จำเลยที่ 3 ชำระหนี้แล้วหรือไม่ 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2517/2534
การที่ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับจำนำให้จำเลยผู้จำนำเช่าเครื่องจักรอันเป็นทรัพย์สินจำนำ ย่อมเป็นการยอมให้ทรัพย์สินจำนำกลับคืนไปสู่การครอบครองของผู้จำนำตามความหมายของบทบัญญัติมาตรา 769(2) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ สิทธิจำนำของผู้ร้องจึงระงับสิ้นไปตามมาตรา ดังกล่าว ผู้ร้องจึงมิใช่เจ้าหนี้ผู้รับจำนำที่จะร้องขอกันส่วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 287 ได้ 

ข้อ 6. 

นายเอกเปิดร้านขายอาหารอยู่ที่กรุงเทพมหานคร ได้สั่งซื้อเฟอร์นิเจอร์จากนายโทเพื่อนำไปใช้ในร้าน นายเอกออกเช็คธนาคารกรุงทอง จำกัด สาขาลาดพร้าว ซึ่งเป็นเช็คผู้ถือลงวันที่ 7 มกราคม 2547 ชำระหนี้แก่ นายโทที่ร้านนั้นเอง นายโทสลักหลังและส่งมอบเช็คดังกล่าวแก่นายตรีเพื่อชำระหนี้เงินยืม นายตรีรับเช็คไว้แล้วหลงลืม จนกระทั่งวันที่ 14 พฤษภาคม 2547 จึงนำเช็คไปเรียกเก็บเงิน ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน เพราะเงิน ในบัญชีไม่พอจ่าย นายตรีทวงถามนายเอกและนายโทให้ใช้เงินตามเช็ค ทั้งสองคนต่อสู้ว่านายตรีนำเช็คไปเรียก เก็บเงินล่าช้า จึงสิ้นสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่ตน 

ให้วินิจฉัยว่า ข้อต่อสู้ของนายเอก และนายโทฟังขึ้นหรือไม่ 

ธงคำตอบ 

เช็คที่นายเอกสั่งจ่ายเป็นเช็คให้ใช้เงินในเมืองเดียวกันกับสถานที่ออกเช็ค แม้นายตรีผู้ทรงจะมิได้ยื่นเช็ค แก่ธนาคารเพื่อให้ใช้เงินภายในเดือนหนึ่งนับแต่วันออกเช็คตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 990 แต่ไม่ปรากฏว่าการไม่ยื่นเช็คภายในกำหนดดังกล่าวทำให้นายเอกผู้สั่งจ่ายต้องเสียหายอย่างใด นายตรีจึงไม่เสียสิทธิที่มีต่อนายเอกและ มีสิทธิฟ้องเรียกเงินตามเช็คจากนายเอกได้ ตามมาตรา 900 และมาตรา 914 ประกอบด้วยมาตรา 989 (คำพิพากษาฎีกาที่ 3242/2530) ข้อต่อสู้ของนายเอกฟังไม่ขึ้น 

นายโทสลักหลังเช็คผู้ถือ ถือว่าการสลักหลังนั้นเป็นเพียงประกัน (อาวัล) สำหรับผู้สั่งจ่ายจึงต้องผูกพัน เป็นอย่างเดียวกันและรับผิดร่วมกับนายเอกผู้สั่งจ่ายตามมาตรา 921 มาตรา 940 วรรคหนึ่ง และมาตรา 967 ประกอบด้วยมาตรา 989 นายโทไม่ได้อยู่ในฐานะผู้สลักหลังทั้งปวงอันจะพ้นความรับผิดตามมาตรา 990 ซึ่งเป็นเงื่อนไขแห่งการใช้สิทธิไล่เบี้ยของผู้ทรงเช็ค ต่อผู้สลักหลังโอนเช็คชนิดระบุชื่อผู้รับเงินเท่านั้น ไม่ได้รวมถึงผู้สลักหลังเช็คในฐานะเป็นผู้รับประกันการใช้เงิน (อาวัล) สำหรับผู้สั่งจ่าย ตามเช็คซึ่งสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือด้วย นายโทไม่หลุดพ้นจากความรับผิดและต้องร่วมรับผิดกับนายเอก (คำพิพากษาฎีกาที่ 1007/2542) ข้อต่อสู้ของนายโทฟังไม่ขึ้นเช่นกัน 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3242/2530
จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้โจทก์แม้จำเลยสั่งจ่ายเพื่อเป็นประกันหนี้เงินกู้ของ พ.ที่มีต่อโจทก์แต่เมื่อพ. ยังไม่ได้ชำระหนี้ต่อโจทก์ หนี้ตามเช็คพิพาทจึงยังคงมีอยู่จำเลยซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คนั้น ทั้งจะนำบทบัญญัติในเรื่องการผ่อนเวลาของเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะค้ำประกันมาใช้บังคับเพื่อให้จำเลยพ้นจากความรับผิดหาได้ไม่ ความเสียหายอันเกิดจากผู้ทรงเช็คไม่นำเช็คไปขึ้นเงินต่อธนาคาร ภายในกำหนดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 990 นั้นหมายถึงผู้สั่งจ่ายเสียเงินที่มีอยู่ในธนาคารเพราะการที่ผู้ทรงไม่นำเช็คไปขึ้นเงินภายในกำหนด เช่นธนาคารล้มละลาย เป็นต้น ดังนั้น แม้จะฟังได้ว่าการที่โจทก์นำเช็คพิพาทไปยื่นต่อธนาคารเพื่อให้ใช้เงินล่าช้าจน พ. หลบหนีไปแล้วจึงดำเนินการ ทำให้จำเลยเสียหาย ไม่สามารถใช้สิทธิไล่เบี้ยจาก พ. ได้ กรณีก็ไม่ต้องด้วยบทกฎหมายดังกล่าวจำเลยจึงไม่พ้นความรับผิดตามเช็คพิพาท 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1007/2542
โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยสุจริต แม้เช็คพิพาทเป็นเช็คให้ใช้เงินเมืองเดียวกันกับที่ออกเช็ค และโจทก์มิได้ ยื่นแก่ธนาคารให้ใช้เงินภายใน 1 เดือน นับแต่วันออกเช็คก็ตาม แต่จำเลยที่ 2 สลักหลังเช็คพิพาทซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นผู้สั่งจ่ายแก่ผู้ถือ ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 921 ประกอบด้วยมาตรา 989 ให้ถือว่าการสลักหลังนั้นเป็นเพียง ประกัน (อาวัล) สำหรับผู้สั่งจ่าย หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งเป็นการ รับประกันเพื่อการใช้เงินตามเช็คนั้น จำเลยที่ 2 จึงต้องผูกพันตนเป็นอย่างเดียวกันและรับผิดร่วมกันกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงตามมาตรา 940 และ 967 ประกอบด้วยมาตรา 989ในฐานะผู้รับประกันการใช้เงิน (อาวัล) สำหรับผู้สั่งจ่าย จำเลยที่ 2 มิได้อยู่ในฐานะผู้สลักหลังทั้งปวงอัน จะพึงต้องรับผิดตามมาตรา 990 ซึ่งเป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับ เรื่องเงื่อนไขแห่งการใช้สิทธิไล่เบี้ยของผู้ทรงเช็คต่อผู้สลักหลัง โอนเช็คชนิดระบุชื่อผู้รับเงินเท่านั้น บทบัญญัติมาตรา 990 ดังกล่าวหาได้รวมถึงผู้สลักหลังเช็คในฐานะเป็นผู้รับประกัน การใช้เงิน (ผู้รับอาวัล) สำหรับผู้สั่งจ่ายตามเช็คซึ่งสั่ง ให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้นด้วยไม่ ซึ่งเป็นกรณีต่างกัน จึงไม่อาจ นำมาปรับแก่กรณีนี้ได้ 

ข้อ 7. 

บริษัทสยาม จำกัด จัดตั้งขึ้นเมื่อเดือนมกราคม 2547 มีทุนจดทะเบียน 3,000,000 บาท มีมูลค่าหุ้นละ 100 บาท มีนายหนึ่ง และนายสองเป็นกรรมการ ต่อมาในเดือนมีนาคม 2547 บริษัทฯ ขาดเงินหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ จึงขอยืมเงินจากนายหนึ่ง จำนวน 1,000,000 บาท อย่างไรก็ตามในเดือนสิงหาคม 2547 กิจการของบริษัทฯ ได้ดีขึ้น ผู้ถือหุ้นประสงค์จะตอบแทนความ ช่วยเหลือของนายหนึ่ง ผู้ถือหุ้นจึงได้ประชุมกันลงมติพิเศษ ให้บริษัทฯ ออกหุ้นเพิ่มทุนจำนวนทั้งสิ้น 10,000 หุ้น โดยให้เสนอขายให้นายหนึ่งคนเดียวในราคาหุ้นละ 90 บาท โดยให้ถือว่า เงินที่ กู้ยืมส่วนหนึ่งจำนวน 900,000 บาท ที่บริษัทฯ ยืมไปจากนายหนึ่งเป็นเงินชำระค่าหุ้นและให้คืนเงินที่กู้ยืมที่เหลืออีก 100,000 บาท ให้ นายหนึ่ง 

ให้วินิจฉัยว่า มติพิเศษของผู้ถือหุ้นดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ 

ธงคำตอบ 

การที่ผู้ถือหุ้นบริษัทสยาม จำกัด ลงมติพิเศษให้เพิ่มทุนโดยเสนอขายหุ้นให้นายหนึ่งคนเดียวนั้นกระทำไม่ได้ เพราะขัดต่อประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1222 ซึ่งบัญญัติว่า บรรดาหุ้นที่ออกใหม่นั้นต้องเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นทั้งหลายตามส่วนจำนวน หุ้น ซึ่งเขาถืออยู่ ส่วนที่ลงมติเสนอขายในราคาหุ้นละ 90 บาท ต่อหุ้นก็กระทำไม่ได้ เพราะต่ำกว่ามูลค่าหุ้นที่ตั้งไว้ จึงขัดต่อมาตรา 1105 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติห้ามมิให้ออกขายหุ้นในราคาต่ำไปกว่ามูลค่าของหุ้นที่ตั้งไว้ และที่ลงมติให้นายหนึ่งชำระค่าหุ้นเพิ่มทุน โดยทำการ หักกลบลบหนี้กับเงินที่บริษัทสยาม จำกัด ยืมมาจากนายหนึ่งก็กระทำไม่ได้เช่นกัน เพราะขัดต่อมาตรา 1119 วรรคสอง ซึ่งบัญญัติว่า ในการใช้เงินค่าหุ้นนั้น ผู้ถือหุ้นจะหักหนี้กับบริษัทหาได้ไม่ ดังนั้น มติพิเศษของผู้ถือหุ้นทั้งสามประการดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย 

ข้อ 8. 

นายมิตรและนางสาวมุ้ย ต่างมีอายุ 25 ปี ทำสัญญาหมั้นกัน โดยนายมิตรได้มอบแหวนเพชร 1 วง ราคา 200,000 บาท ให้แก่ นางสาวมุ้ยเป็นของหมั้น แล้วนายมิตรกับนางสาวมุ้ยก็อยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา โดย นางสาวมุ้ยลาออกจากงานซึ่งขณะนั้นได้รับเงินค่าจ้างเดือนละ 10,000 บาท เพื่อช่วยนายมิตรทำการค้าที่บ้านนายมิตร ครั้นถึงกำหนด วันจดทะเบียนสมรสตามที่ตกลงกันไว้แล้ว นายมิตรไม่ยอมไปจดทะเบียน กลับนำหญิงอื่นเข้ามาอยู่กินในบ้านและขับไล่นางสาวมุ้ย นางสาวมุ้ยจึงกลับไปอยู่กับนางแม้นมารดา ต่อมานายมิตรยอมใช้ค่าทดแทนความเสียหายในการที่นางสาวมุ้ยมาอยู่กินกับนาย มิตร ให้แก่นางสาวมุ้ยเป็นเงิน 200,000 บาท โดยรับสภาพเป็นหนังสือไว้ หลังจากนั้นนางสาวมุ้ยก็ถึงแก่ความตาย ซึ่งขณะถึงแก่ความตาย คงมีแต่นางแม้นและนายมุ่ง น้าของนางสาวมุ้ยมีชีวิตอยู่เพียง 2 คนเท่านั้น 

ให้วินิจฉัยว่า นางแม้น และนายมุ่ง มีสิทธิในแหวนเพชรของหมั้น ค่าทดแทนความเสียหายตามหนังสือ รับสภาพ กับค่าทดแทนความเสียหายที่นางสาวมุ้ยลาออกจากงานหรือไม่ เพียงใด 

ธงคำตอบ 

นางแม้นและนายมุ่งต่างเป็นมารดาและน้าของนางสาวมุ้ยผู้ตาย จึงเป็นทายาทโดยธรรม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 (2) และ 1629 (6) ตามลำดับ แต่นายมุ่งเป็นทายาทที่อยู่ลำดับถัดลงไปจากนางแม้น ย่อมไม่มีสิทธิรับทรัพย์มรดกตาม มาตรา 1630 วรรคหนึ่ง นางแม้นจึงเป็นทายาทโดยธรรมของ นางสาวมุ้ยแต่ผู้เดียว การที่นายมิตรกับนางสาวมุ้ยหมั้นกันโดยที่ทั้งสองฝ่ายมีอายุเกินกว่า 17 ปีบริบูรณ์ ทั้งไม่ได้เป็นผู้เยาว์และนายมิตรได้ส่งมอบแหวน เพชรให้แก่นางสาวมุ้ยเป็นของหมั้น การหมั้นจึงทำได้และสมบูรณ์ตามมาตรา 1435 วรรคหนึ่ง และ 1437 วรรคหนึ่ง ของหมั้นจึงตกเป็นสิทธิของนางสาวมุ้ยตามมาตรา 1437 วรรคสอง เมื่อนายมิตรไม่ยอมจดทะเบียน สมรส ถือว่านายมิตรผิดสัญญาหมั้น นางสาวมุ้ยไม่ต้องคืนของหมั้นตามมาตรา 1439 ของหมั้นย่อมเป็นมรดกตกทอดไปยังนางแม้น 

การที่นางสาวมุ้ยไปอยู่กินร่วมกันกับนายมิตรฉันสามีภริยา ทั้งยังถูกนายมิตรขับไล่ ย่อมเป็นเหตุให้ นางสาวมุ้ยได้รับความเสียหายต่อกายหรือชื่อเสียง ตามมาตรา 1440 (1) (คำพิพากษาฎีกาที่ 982/2518) และการที่นางสาวมุ้ยลาออกจากงานเพื่อช่วยนายมิตรทำการค้า ถือว่าเป็นกรณีที่สมควร นางสาวมุ้ยย่อมได้รับ ความเสียหายตามมาตรา 1440 (3) (คำพิพากษาฎีกาที่ 3366/2525) นายมิตรจึงต้องใช้ค่าทดแทน ความเสียหายทั้งสองประการแก่นางสาวมุ้ย ตามมาตรา 1439 ซึ่งสิทธิที่เรียกร้องดังกล่าวไม่อาจโอนกันได้และ ไม่ตกทอดไปถึงทายาท แต่สิทธิเรียกร้องค่าทดแทนความเสียหายต่อกายหรือชื่อเสียงนั้น เนื่องจากนายมิตรได้รับสภาพไว้เป็นหนังสือ แล้ว สิทธิเรียกร้องเฉพาะส่วนนี้ย่อมเป็นมรดกตกทอดไปยังนางแม้น ตามมาตรา 1447 วรรคสอง 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 982/2518
ชายหญิงหมั้นกันโดยตกลงว่า เมื่อทำพิธีแต่งงานกันแล้วจะไปจดทะเบียนสมรสภายใน 15 วัน แต่เมื่อได้ทำพิธีแต่งงานและได้อยู่ร่วมกัน 46 วันแล้ว ชายไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับหญิงแต่กลับขับไล่หญิงให้กลับไปอยู่บ้านบิดาเช่นนี้ชายผิดสัญญาหมั้น เป็นเหตุให้หญิงต้องได้รับความอับอายขายหน้า เสื่อมเสียเกียรติยศชื่อเสียงและร่างกายชายต้องรับผิดตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1439(1) 

โจทก์ชนะคดี 1 ใน 3 ของคำฟ้อง ศาลชั้นต้นให้จำเลยใช้ค่าธรรมเนียมเต็มจำนวนตามฟ้องก็ได้เมื่อไม่นอกเหนือไปจากบทบัญญัติของกฎหมาย ศาลฎีกาไม่แก้ไข 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3366/2525
จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้น โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกให้จำเลยรับผิดใช้ค่าทดแทนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1439,1440 การกำหนดค่าทดแทนความเสียหายต่อกายและชื่อเสียงของโจทก์นั้นต้องพิเคราะห์ถึงการศึกษาอาชีพและรายได้ของโจทก์ฐานะของครอบครัวของโจทก์และการที่โจทก์เป็นหญิงมาอยู่กินกับจำเลยจน มีบุตรแต่จำเลยไม่ยอมจดทะเบียนสมรสทำให้โจทก์ได้รับความอับอายเสียชื่อเสียงทั้งเป็นการยากที่จะทำการสมรสใหม่ ก่อนรับหมั้นจำเลย โจทก์ทำงานอยู่บริษัทฯ เมื่อแต่งงานแล้วโจทก์ได้ลาออกจากงานเพื่อมาช่วยงานบ้านจำเลยถือได้ว่าโจทก์ได้จัดการเกี่ยวกับอาชีพโดยสมควรด้วยการคาดหมายว่าจะได้มีการสมรสเมื่อจำเลยไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกค่าทดแทนความเสียหายส่วนนี้ได้แต่ต่อมาโจทก์ได้เข้าทำงานใหม่แม้จะลาออกจากงานอีกครั้งหนึ่งก็มิใช่ด้วยการคาดหมายว่าจะได้มีการสมรสเพราะในระยะนั้นทั้งสองฝ่ายขัดแย้งกันอย่างรุนแรงจนเป็นที่เห็นได้ว่าไม่อาจจะจดทะเบียนสมรสกันได้แน่นอน โจทก์จึงเรียกไม่ได้
Read more