มาตรา ๑๒๒๐
บริษัทจำกัดอาจเพิ่มทุนของบริษัทขึ้นได้ด้วยออกหุ้นใหม่โดยมติพิเศษของประชุมผู้ถือหุ้น
มาตรา ๑๒๒๑
บริษัทจำกัดจะออกหุ้นใหม่ให้เหมือนหนึ่งว่าได้ใช้เต็มค่าแล้ว
หรือได้ใช้แต่บางส่วนแล้วด้วยอย่างอื่นนอกจากให้ใช้เป็นตัวเงินนั้นไม่ได้
เว้นแต่จะทำตามมติพิเศษของประชุมผู้ถือหุ้น
มาตรา ๑๒๒๒
บรรดาหุ้นที่ออกใหม่นั้น
ต้องเสนอให้แก่ผู้ถือหุ้นทั้งหลายตามส่วนจำนวนหุ้นซึ่งเขาถืออยู่
คำเสนอเช่นนี้
ต้องทำเป็นหนังสือบอกกล่าวไปยังผู้ถือหุ้นทุก ๆ คน
ระบุจำนวนหุ้นให้ทราบว่าผู้นั้นชอบที่จะซื้อได้กี่หุ้น
และให้กำหนดวันว่าถ้าพ้นวันนั้นไปมิได้มีคำสนองมาแล้วจะถือว่าเป็นอันไม่รับซื้อ
เมื่อวันที่กำหนดล่วงไปแล้วก็ดี
หรือผู้ถือหุ้นได้บอกมาว่าไม่รับซื้อหุ้นนั้นก็ดี
กรรมการจะเอาหุ้นเช่นนั้นขายให้แก่ผู้ถือหุ้นคนอื่นหรือจะรับซื้อไว้เองก็ได้
มาตรา ๑๒๒๓
หนังสือบอกกล่าวที่เสนอให้ผู้ถือหุ้นซื้อหุ้นใหม่นั้น
ต้องลงวันเดือนปีและลายมือชื่อของกรรมการ
มาตรา ๑๒๒๔
บริษัทจำกัดจะลดทุนของบริษัทลงด้วยลดมูลค่าแต่ละหุ้น ๆ ให้ต่ำลง
หรือลดจำนวนหุ้นให้น้อยลงโดยมติพิเศษของประชุมผู้ถือหุ้นก็ได้
มาตรา ๑๒๒๕
อันทุนของบริษัทนั้นจะลดลงไปให้ถึงต่ำกว่าจำนวนหนึ่งในสี่ของทุนทั้งหมดหาได้ไม่
มาตรา ๑๒๒๖ เมื่อบริษัทประสงค์จะลดทุน
ต้องโฆษณาความประสงค์นั้นในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่อย่างน้อยหนึ่งคราว
และต้องมีหนังสือบอกกล่าวไปยังบรรดาผู้ซึ่งบริษัทรู้ว่าเป็นเจ้าหนี้ของบริษัท
บอกให้ทราบรายการซึ่งประสงค์จะลดทุนลงและขอให้เจ้าหนี้ผู้มีข้อคัดค้านอย่างหนึ่งอย่างใดในการลดทุนนั้น
ส่งคำคัดค้านไปภายในสามสิบวันนับแต่วันที่บอกกล่าวนั้น
ถ้าไม่มีผู้ใดคัดค้านภายในกำหนดเวลาสามสิบวัน
ก็ให้พึงถือว่าไม่มีการคัดค้าน
ถ้าหากมีเจ้าหนี้คัดค้าน
บริษัทจะจัดการลดทุนลงไม่ได้ จนกว่าจะได้ใช้หนี้หรือให้ประกันเพื่อหนี้รายนั้นแล้ว
มาตรา ๑๒๒๗
ถ้ามีเจ้าหนี้คนหนึ่งคนใดละเลยเสียมิได้คัดค้านในการที่บริษัทจะลดทุนลง
เพราะเหตุว่าตนไม่ทราบความ และเหตุที่ไม่ทราบนั้นมิได้เป็นเพราะความผิดของเจ้าหนี้คนนั้นแต่อย่างใดไซร้
ท่านว่าผู้ถือหุ้นทั้งหลายบรรดาที่ได้รับเงินคืนไปตามส่วนที่ลดหุ้นลงนั้น
ยังคงจะต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้เช่นนั้นเพียงจำนวนที่ได้รับทุนคืนไปชั่วเวลาสองปี
นับแต่วันที่ได้จดทะเบียนการลดทุนนั้น
มาตรา ๑๒๒๘
มติพิเศษซึ่งอนุญาตให้เพิ่มทุนหรือลดทุนนั้น
บริษัทต้องจดทะเบียนภายในสิบสี่วันนับแต่วันที่ได้ลงมตินั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2265/2560
ตาม ป.พ.พ.
มาตรา 650 และมาตรา 653
สัญญากู้ยืมเงินเป็นสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองที่ผู้ให้ยืมโอนกรรมสิทธิ์ในเงินแก่ผู้ยืม
และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนเงินจำนวนเช่นเดียวกันแก่ผู้ให้ยืม
ส่วนสัญญาร่วมลงทุนและสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นพิพาท
ระบุว่าผู้ร้องตกลงจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน และผู้คัดค้านทั้งสี่ตกลงขาย โดยข้อ 6 ระบุว่าผู้คัดค้านทั้งสี่จะดำเนินการออกหุ้นเพิ่มทุน และแปรสภาพผู้คัดค้านที่ 1 เป็นบริษัทมหาชนจำกัด จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหรือตลาดหลักทรัพย์ใหม่เพื่อระดมทุน
ถ้าไม่สามารถระดมทุนหรือไม่สามารถจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหรือตลาดหลักทรัพย์ใหม่
คู่สัญญาตกลงซื้อคืนหุ้นสามัญที่ผู้ร้องถืออยู่ทั้งหมด
แสดงว่านิติสัมพันธ์ระหว่างคู่สัญญามิใช่เพียงผู้ร้องโอนกรรมสิทธิ์ในเงินแก่ผู้คัดค้านทั้งสี่
โดยผู้คัดค้านทั้งสี่ตกลงจะคืนเงินแก่ผู้ร้อง
แต่เป็นการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน
ซึ่งผู้คัดค้านทั้งสี่ต้องส่งมอบหุ้นเพิ่มทุนของผู้คัดค้านที่ 1 แก่ผู้ร้องด้วย หากผู้คัดค้านทั้งสี่ไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขในสัญญาจะต้องซื้อคืนหุ้นดังกล่าวและชำระราคาหุ้นแก่ผู้ร้อง
วัตถุแห่งสัญญามิใช่เงินเพียงอย่างเดียว
แต่มีหุ้นซึ่งต้องส่งมอบแก่กันด้วย
สัญญาร่วมลงทุนและสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้น
จึงไม่ใช่สัญญากู้ยืมเงิน แต่เป็นสัญญาทางแพ่งประเภทหนึ่งซึ่งไม่มีชื่อระบุในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
นอกจากนั้นการที่ผู้ร้องจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนของผู้คัดค้านที่ 1 ขณะที่ผู้คัดค้านที่ 1 ยังไม่ได้แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหรือตลาดหลักทรัพย์ใหม่ย่อมมีความเสี่ยง
การกำหนดเงื่อนไขในสัญญาให้ผู้คัดค้านทั้งสี่ดำเนินการแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัดและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพื่อระดมทุน
และกำหนดความรับผิดหากผู้คัดค้านทั้งสี่ไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไข
ย่อมเป็นข้อสัญญาที่เป็นธรรมแก่คู่สัญญาทั้งสองฝ่าย
ไม่ขัดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม
พ.ศ.2540
สัญญาร่วมลงทุนและสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้น
เป็นสัญญาที่ทำขึ้นระหว่างผู้ร้อง (กองทุนรวม) ผู้คัดค้านที่ 1 (บริษัท) และผู้คัดค้านที่ 2 ถึงที่ 4 (ผู้ถือหุ้นหลัก) ข้อ 6.6
ระบุว่า ในกรณีที่ "บริษัท"
ไม่สามารถระดมทุนโดยเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชน
และ/หรือไม่สามารถนำหุ้นสามัญของ "บริษัท"
เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหรือตลาดหลักทรัพย์ใหม่หรือตลาดหลักทรัพย์อื่นใดตามที่กำหนดไว้ในข้อ
6.4 คู่สัญญาตกลงจะปฏิบัติตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้
คือ "ผู้ถือหุ้นหลัก" จะซื้อหุ้นสามัญของ "บริษัท" ที่ "กองทุนรวม"
ถืออยู่ทั้งหมดจาก "กองทุนรวม" แสดงว่าผู้คัดค้านที่ 1 เป็นคู่สัญญาในสัญญานี้
เมื่อผู้คัดค้านที่ 1 ไม่สามารถระดมทุนตามสัญญาข้อ 6.6
คู่สัญญาซึ่งหมายความรวมทั้งผู้ร้อง
ผู้คัดค้านที่ 1 และผู้คัดค้านที่
2 ถึงที่ 4 ตกลงจะปฏิบัติดังนี้คือ ผู้คัดค้านที่ 2 ถึงที่ 4 จะซื้อคืนหุ้นสามัญจากผู้ร้อง เมื่อผู้คัดค้านที่ 2 ถึงที่ 4 ไม่ซื้อคืนหุ้นสามัญจากผู้ร้องเป็นการผิดสัญญา
ผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งเป็นคู่สัญญาและยอมตกลงตามข้อ
6.6 ด้วย
ย่อมมีความรับผิดตามสัญญาต่อผู้ร้อง
ที่อนุญาโตตุลาการชี้ขาดให้ผู้คัดค้านที่ 1 ต้องร่วมกันหรือแทนกันกับผู้คัดค้านที่ 2 ถึงที่ 4 จึงไม่อยู่นอกขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการ
คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการย่อมไม่ขัดต่อกฎหมาย
แม้คำร้องของผู้ร้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ
ถือเป็นคำร้องขอให้มีการบังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ
ตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ
พ.ศ.2545 มาตรา 42 นั่นเอง ซึ่งศาลเพียงพิพากษาให้บังคับตามคำชี้ขาดไปเท่านั้น
ไม่ต้องพิพากษาตามข้อความในคำชี้ขาด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5563/2559
ป.รัษฎากร มาตรา 40 วรรคหนึ่ง
บัญญัติว่า "เงินได้พึงประเมินนั้น คือเงินได้ประเภทต่อไปนี้... (4) เงินได้ที่เป็น (ง) เงินลดทุนของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเฉพาะส่วนที่จ่ายไม่เกินกว่ากำไรและเงินที่กันไว้รวมกัน"
เดิมบริษัทมีทุนจดทะเบียน 35,000,000
วันที่ 27 เมษายน 2549 บริษัทจดทะเบียนลดทุนเหลือ
29,000,000 บาท
งบดุลของบริษัทรอบระยะเวลาบัญชีปี 2548 ก่อนการคืนเงินลงทุนมีกำไรสะสม ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2548 จำนวน 14,888,824 บาท
เมื่อหักเงินปันผลที่บริษัทประกาศจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้น 4,900,000
บาท คงเหลือกำไรสะสมก่อนคืนเงินลดทุน 9,988,824 บาท การที่บริษัทจดทะเบียนลดทุนและจ่ายเงินลดทุนหรือเงินลงทุนคืนแก่ผู้ถือหุ้น 6,000,000
บาท จึงเป็นการจ่ายเงินลดทุนซึ่งส่วนที่จ่ายคืนนั้นไม่เกินกว่ากำไรสะสมก่อนคืนเงินลดทุน ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40
(4) (ง) ที่โจทก์ทั้งสามต้องนำมารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9479/2558
โจทก์ทั้งสองขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนเพิ่มทุนของบริษัท
ซึ่งก็คือขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่วิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัทครั้งที่
3/2536 เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2536 ครั้งที่ 4/2536 เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2536 และครั้งที่ 5/2536 เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2536 โดยให้โจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งสองถือหุ้นตามอัตราส่วนก่อนการประชุมใหญ่วิสามัญดังกล่าว
โดยอ้างว่าการเรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นดังกล่าวให้โจทก์ทั้งสองไม่ชอบ
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องขอให้เพิกถอนมติโดยอ้างว่าการประชุมใหญ่วิสามัญนั้นได้นัดเรียกประชุมฝ่าฝืน
บทบัญญัติของกฎหมาย ดังนี้การขอให้เพิกถอนมติของที่ประชุมใหญ่อันผิดระเบียบ
ป.พ.พ. มาตรา 1195 ต้องยื่นต่อศาลภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันลงมติ เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้เกินกำหนดระยะเวลาดังกล่าว
โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
5812/2557
แม้โจทก์สามารถออกหุ้นเพิ่มทุนโดยมีราคาสูงกว่ามูลค่าหุ้นที่ตั้งไว้ได้และส่วนล้ำมูลค่าหุ้นต้องนำไปบวกทบเข้าในทุนสำรองตาม
ป.พ.พ. มาตรา 1105
และมาตรา 1202 ก็ตาม แต่การกระทำของโจทก์ที่มีการสร้างขั้นตอนที่ซับซ้อนขึ้นมาก่อนที่จะมีการทำสัญญาปลดเปลื้องและชดใช้หนี้เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อให้เงินที่โจทก์จะได้จากบริษัท
อ. หลุดพ้นจากนิยามคำว่า
เงินได้พึงประเมินหรือรายได้เนื่องจากการประกอบกิจการ
เป็นผลให้ไม่เกิดภาระภาษีเงินได้นิติบุคคลจากเงินจำนวนดังกล่าว
ซึ่งท้ายที่สุดแล้วเงินจำนวนดังกล่าวที่โจทก์ได้รับจากบริษัท
อ. จะถูกนำไปชำระหนี้ให้แก่ธนาคารเจ้าหนี้ของโจทก์ก่อนที่โจทก์จะเลิกกิจการ
โดยไม่มีลักษณะเป็นการออกหุ้นเพิ่มทุน เพื่อให้กิจการของบริษัทดำเนินต่อไปได้
พฤติการณ์ของโจทก์แสดงให้เห็นว่า สัญญาปลดเปลื้องและชดใช้หนี้ถูกทำขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีให้แก่จำเลย
โจทก์จึงไม่ได้ออกหุ้นเพิ่มทุนแบบมีส่วนเกินมูลค่าหุ้นตามข้อกำหนดและเงื่อนไขของสัญญาปลดเปลื้องหรือชดใช้หนี้ซึ่งเป็นการเพิ่มทุนเพื่อการประกอบธุรกิจตามปกติ
แต่เป็นการทำสัญญาปลดเปลื้องหรือชดใช้หนี้เป็นไปตามมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นของโจทก์ตามแนวทางที่
น. ที่ปรึกษากฎหมายของโจทก์วางแผนไว้
ดังนั้น เงิน 906,296,000 บาท ที่โจทก์ได้รับจากบริษัท อ. โดยอ้างว่าเป็นส่วนล้ำมูลค่าหุ้นจึงมีลักษณะเป็นเงินให้เปล่าหรือเงินช่วยเหลือแก่โจทก์ที่ได้รับจากบริษัท
อ. ถือเป็นเงินได้พึงประเมินและเป็นรายได้เนื่องจากกิจการที่โจทก์ต้องนำมารวมคำนวณกำไรขาดทุนสุทธิ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10208/2553
การที่ผู้ทำแผนฟื้นฟูกำหนดวิธีการชำระหนี้โดยการแปลงหนี้เป็นทุน
แม้เป็นการหักหนี้กับค่าหุ้นของบริษัทต้องห้ามตาม
ป.พ.พ. มาตรา 1119 วรรคสอง แต่ พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/42 วรรคท้าย บัญญัติว่า มิให้นำมาตรา 1119
แห่ง ป.พ.พ. มาใช้บังคับแก่แผนตามมาตรานี้เมื่อในการจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการมีบทบัญญัติยกเว้นบทบัญญัติของ
ป.พ.พ. ส่วนนี้ ผู้ทำแผนจึงสามารถทำแผนเพิ่มทุนโดยการแปลงหนี้มาเป็นทุนได้
กรณีมีการชำระหนี้ด้วยหุ้น
เนื่องจากราคาที่จดทะเบียนไว้อาจมิได้เป็นราคาที่แท้จริงของหุ้นดังกล่าวในวันที่มีการชำระแก่เจ้าหนี้
จำนวนหนี้ที่เจ้าหนี้ได้รับชำระอันจะมีผลให้หนี้ระงับย่อมมีจำนวนเท่ากับราคาตลาดที่แท้จริงอันเจ้าหนี้ได้รับโอนได้ตามแผนฟื้นฟูกิจการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6592/2548
กรณีที่บุคคลใดจะใช้สิทธิทางศาลโดยเสนอเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทตาม
ป.วิ.พ. มาตรา 55 ได้นั้น
จะต้องมีกฎหมายสารบัญญัติรับรองให้ใช้สิทธิทางศาลเพื่อรับรองหรือคุ้มครอง
สิทธิของตนที่มีอยู่ การที่ผู้ร้องทั้งสองร้องขอให้ศาลเพิกถอนการจดทะเบียนเพิ่มทุนนั้นไม่มี
กฎหมายบัญญัติรับรองว่าอาจทำเป็นคำร้องขออย่างคดีไม่มีข้อพิพาทได้ ดังนั้น
ผู้ร้องทั้งสองจะเริ่มคดีโดยทำเป็นคำร้องขอยื่นต่อศาลเป็นคดีไม่มีข้อพิพาท ตาม
ป.วิ.พ. มาตรา 55 และมาตรา 188 (1) หาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3668/2547
ระยะ เวลา 30 วัน ตาม ป.รัษฎากร มาตรา 30 (2)
เป็นระยะเวลาที่เกี่ยวด้วยวิธีพิจารณาความแพ่ง อันกำหนดไว้ใน ป.รัษฎากร ตาม พ.ร.บ.
จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร มาตรา 17 ประกอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา
23 ดังนั้น เมื่อศาลภาษีอากรกลางเห็นว่าคำร้องของโจทก์ที่ขอขยายระยะเวลามีพฤติการณ์
พิเศษ ศาลภาษีอากรกลางย่อมมีอำนาจที่จะอาศัยบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวอนุญาตให้
โจทก์ขยายระยะเวลายื่นฟ้องจำเลยออกไปได้
โจทก์สามารถเพิ่มทุนได้ด้วยการออกหุ้นใหม่
โดยมติพิเศษของที่ประชุมผู้ถือหุ้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1220 เมื่อมีมติพิเศษให้เพิ่มทุนแล้ว
โจทก์ยังอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายที่จะต้องไปยื่นคำขอจดทะเบียนเพื่อเพิ่ม ทุนตาม
ป.พ.พ. มาตรา 1228 ดังนั้น
จึงต้องถือว่าวันที่ซึ่งนายทะเบียนรับจดทะเบียนเป็นวันที่โจทก์เพิ่มทุนและ
รับชำระเต็มมูลค่าหุ้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2359/2544
การส่งใช้เงินค่าหุ้น
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1119,1120 และ 1221
กำหนดให้ต้องส่งใช้เป็นเงินเท่านั้น
โดยกรรมการของบริษัทจะเป็นผู้เรียกเก็บเงินค่าหุ้นตามวิธีการบอกกล่าวล่วง
หน้าด้วยจดหมายส่งลงทะเบียนไปรษณีย์เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏหลักฐานว่า จำเลยได้มีจดหมายส่งลงทะเบียนบอกกล่าวเรียกเก็บเงินค่าหุ้นไปยังผู้ร้อง
หรือผู้ถือหุ้นรายอื่น ๆแต่อย่างใด ที่ผู้ร้องอ้างว่า
เมื่อจำเลยเรียกเก็บเงินค่าหุ้นจึงได้มีการตกลงกันภายในระหว่างสองบริษัทว่า
"หนี้ค่าหุ้นที่ทวงถามไปนั้น บริษัทจำเลยขอให้บริษัทผู้ร้องชำระค่าหุ้นที่เหลือเป็นวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้าง
แทนการชำระเป็นเงิน"
ข้อตกลงดังกล่าวหากมีจริงก็ต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมตั้งบริษัทข้อตกลง
ที่ผู้ร้องอ้างจึงไม่มีผลผูกพันจำเลย
นอกจากนี้ในส่วนงบดุลและบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นของจำเลยกฎหมายก็ให้
สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นพยานหลักฐานอันถูกต้องตามข้อความที่ได้บันทึกไว้
นั้นทุกประการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
1024จึงเป็นหน้าที่ของผู้ร้องที่จะต้องนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมาย ดังกล่าว
หาใช่ว่าผู้คัดค้านมีหน้าที่ต้องนำสืบให้เห็นว่าผู้ร้องค้างชำระค่าหุ้นดัง
ที่ผู้ร้องฎีกาไม่
พยานหลักฐานของผู้ร้องจึงรับฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องชำระค่าหุ้นที่ค้างชำระให้
แก่จำเลยแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4461/2543
โจทก์ทำสัญญาร่วมลงทุนทำกิจการบ่อทรายในรูปแบบบริษัทจำกัดกับจำเลยทั้งห้าและ
น. ต่อมาจำเลยทั้งห้าดำเนินการจดทะเบียนตั้งบริษัท ท. หลังจากนั้นทนายความผู้ได้รับมอบอำนาจจากโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวแก่จำเลย
ทั้งห้าคืนเงินลงทุนแก่โจทก์จำนวน 400,000 บาท
และชำระเงินค่าขายทรายที่มิได้ชำระแก่โจทก์จำนวน 17,937.52 บาท
อันเป็นการใช้สิทธิตามสัญญาร่วมลงทุนทำกิจการบ่อทราย
และการจัดตั้งบริษัทดังกล่าวมีข้อตกลงด้วยว่า
เงินผลประโยชน์ค่าขายทรายที่จำเลยทั้งห้าหรือบริษัทดังกล่าวจัดจำหน่ายแก่ ลูกค้า
ไม่ว่าจะมีผลกำไรหรือขาดทุน
จำเลยทั้งห้ายินยอมที่จะจ่ายเงินผลประโยชน์แก่โจทก์เสมอไป
อันถือเป็นข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งห้าในการร่วมลงทุน
เป็นเรื่องของการแลกเปลี่ยนในทางจัดการ
โดยให้จำเลยทั้งห้าเป็นฝ่ายบริหารกิจการบ่อทรายจัดจำหน่ายแก่ลูกค้าด้วยเงิน
ลงทุนร่วมกัน 1,000,000 บาท โจทก์และ น. ร่วมลงทุนคนละ 400,000 บาท
แต่ก็มิได้เป็นกรรมการผู้มีอำนาจบริหารในบริษัท
เมื่อจำเลยทั้งห้ามิได้ปฏิบัติตามหนังสือบอกกล่าวของโจทก์ที่ขอให้คืนเงินลง
ทุนและชำระเงินค่าขายทรายที่มิได้ชำระ โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งห้าเป็นคดีนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4564/2536
การประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นเรื่องการเพิ่มทุนของบริษัทซึ่งต้องใช้มติพิเศษ
เมื่อที่ประชุมครั้งแรกลงคะแนนเสียงโดยวิธีชูมือผู้ถือหุ้นบางคนทักท้วงการ ลงคะแนนเสียงและขอให้ลงคะแนนลับประธานที่ประชุมไม่ได้แสดงว่าการลงคะแนน
เสียงดังกล่าวเป็นมติที่ผ่านไปแล้วตามข้อบังคับของบริษัท
จึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นมติของที่ประชุมเป็นเด็ดขาด
การที่ประธานที่ประชุมให้มีการลงคะแนนเสียงด้วยวิธีชูมืออีกครั้งหนึ่ง
เมื่อมีการถอนคำขอให้ลงคะแนนลับแล้วผลการประชุมปรากฏว่า
มีผู้ถือหุ้นในที่ประชุมทั้งหมด 78 คนออกเสียงอนุมัติการเพิ่มทุน 63 เสียง
จึงเป็นการลงมติในที่ประชุมครั้งแรกด้วยคะแนนเสียงข้างมากไม่ต่ำกว่าสามใน
สี่ของจำนวนเสียงทั้งหมดแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3486/2532
ธนาคารจำเลยเพิ่มทุนโดยการออกหุ้นใหม่ภายในกำหนดเวลา
5 ปี นับแต่วันที่พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2522 ใช้บังคับ
การเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนจะต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้จะนำมาตรา 1222
แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับหาได้ไม่ มาตรา 24 แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ฉบับดังกล่าวบัญญัติให้ธนาคารพาณิชย์
ที่ยังไม่ได้จดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนจำกัดที่ประสงค์จะเพิ่มทุนโดยการออก หุ้นใหม่
ต้องขายหุ้นใหม่แก่บุคคลธรรมดาซึ่งไม่ใช่ผู้ถือหุ้นเดิมไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบห้าของจำนวนหุ้นที่ออกใหม่นั้น
หมายความว่าต้องขายหุ้นใหม่แก่บุคคลภายนอกตั้งแต่ร้อยละยี่สิบห้าขึ้นไป ดังนั้น
การที่กรรมการธนาคารมีมติให้ขายหุ้นใหม่แก่บุคคลภายนอกเกินกำหนดดังกล่าวจึง
ไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย
แต่เมื่อที่ประชุมใหญ่วิสามัญของผู้ถือหุ้นมีมติให้ขายหุ้นใหม่แก่บุคคลภายนอกเท่าที่จำเป็นแก่การปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าว
คือเพียงร้อยละยี่สิบห้าเท่านั้นการที่กรรมการธนาคารลงมติให้ขายเกินกำหนด
ดังกล่าวแม้ไม่ขัดต่อกฎหมายแต่เมื่อขัดต่อมติที่ประชุมใหญ่วิสามัญของผู้ถือหุ้นย่อมเป็นการละเมิดต่อโจทก์และโจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นเดิมในอันที่
จะจองซื้อหุ้นที่ออกใหม่
โจทก์และโจทก์ร่วมชอบที่จะฟ้องขอให้เพิกถอนมติของกรรมการธนาคารได้